วันที่ 31 มี.ค.64 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk ในหัวข้อ วันที่ 4 เดือน 4 เวลา 4 โมงเย็นได้เวลาประยุทธ์ออกไป โดยระบุว่า การประกาศนัดหมายของนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 2535 เริ่มมีพลานุภาพ แม้ทุกสายตาต่างจ้องมองตนจะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร ซึ่งได้อธิบายชัดเจน ว่า เป็นคนเดือนพฤษภา2535 คนหนึ่ง เมื่อประธานคณะกรรมการญาติวีรชน ได้เชิญชวนให้เข้ามาร่วม และประเมินสถานการณ์บ้านเมืองว่า อยู่ในจุดขั้นวิกฤตแล้วจะนิ่งดูดายได้อย่างไร โดยให้ยึดโมเดลพฤษภาคม 2535 ที่เป็นเรื่องระหว่างประชาชนกับเผด็จการ ดังนั้นรู้ว่า ต้องเจออะไรในสถานการณ์นี้ "แต่บางคนกลับถากถาง อย่างเช่นนายสมชาย แสวงการ ส.ว. บอกว่าปลุกไม่ขึ้น ดังนั้น อยากบอกไปยังนายสมชาย ว่าให้ดูประวัติศาสตร์ พฤษภาคม 2535 ที่ผมไปนำทัพต่อที่รามคำแหงนั้นเป็นประวัติศาสตร์ที่แม้ว่าจะหมดหนทาง ซึ่งทุกคนคิดว่าแพ้แล้ว แต่เรายังพลิกสถานการณ์โดยประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายยืนเคียงข้างเป็นที่มั่นสุดท้ายของประชาชน" ดูถูกไว้ให้มากๆ ซึ่งบางพวกก็บอกผมไร้ราคา และที่หนักไปกว่านั้นบางพวก ก่อนหน้านี้ก็บอก ย้ายขั้วสลับข้างกล่าวหาขับไล่ ออกจากประธาน นปช. แต่เมื่อมาขับไล่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็หาเหตุอื่นต่อ ก็ว่ากันไป เพราะทำอะไรไม่ถูกใจคนพวกนี้สักเรื่อง ที่ผ่านมาก็พูดชัดเจนว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องขององค์กรใดองค์กรหนึ่งที่ต่อสู้กันมากว่า 15 ปี แต่เป็นเรื่องที่จะต้องสามัคคีประชาชน ในวันที่ประชาชนอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้ว ต่อสู้กับเผด็จการ ดังนั้นการดูถูกเหยียดหยาม หรือ ความพยายามปั่นกระแสอะไรก็ตาม อยากถามว่าที่ทำแบบนี้เพราะต้องการให้พลเอกประยุทธ์ อยู่ต่อใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตามเราต้องอดทนรอคอยต่อสถานการณ์ให้เห็นว่าประเทศเดินต่อไม่ได้จริงๆ และ สายป่านสุดท้ายคือ เรื่องรัฐธรรมนูญ นายจตุพรกล่าวว่า วันนี้กลไก ส.ส.พลังประชารัฐ นายสิระ เจนจาคะ ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ที่ผ่านมาบ้านเมืองเสียหายไปขนาดไหนมีคนบาดเจ็บล้มตาย ยังไม่พออีกหรือ พร้อมเข้าสู่สู้แล้วรวยภาค 2 พูดถึงคดีบ้านสี่เสาเทเวศร์ เหล่านี้ อยากบอกว่า ประวัติศาสตร์สู้แล้วรวยนั้นยาก แต่โกงแล้วรวยนั้นมี ผมมีคดีเฉพาะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ทางการเมืองทั้งสิ้น โดยเฉพาะคดีบ้านสี่เสาเทเวศร์นั้น ต่อสู้ตามสิทธิ์ เพราะอัยการสั่งฟ้อง จำเลย 15 คน แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ร้องขอให้แยกสำนวน แต่เมื่อแยกเป็น 2 สำนวนปล่อยให้จำเลยอีก 5 คนคดีขาดอายุความ ก็เป็นกระบวนการตามปกติ ขบวนการที่พยายามเตะตัดขา เพราะคิดว่านี่เป็นประโยชน์กับรัฐบาล เป็นประโยชน์กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่แหละที่บอกว่า ในบ้านเมืองที่น่ากลัวที่สุดคือ คนโง่แล้วขยัน คนที่ประโคมโหมข่าวให้การนัดหมายประชาชนในวันที่ 4 เดือน 4 เวลา 4 โมงเย็นนั้นก็คือคนในซีกฝั่งของรัฐบาล การนัดหมายในวันที่ 4 เมษายนนี้ จะมีคนที่มาจากหลากหลาย ซึ่งความหลากหลายเหล่านี้ คือปรากฏการณ์ของการต่อสู้ ของสมรภูมิใน พ.ศ. นี้ และก็พูดชัดเจนว่า เมื่อได้รับการเชิญชวนก็ไปเพราะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อที่อยู่ในช่วงท้ายๆ ของชีวิต ลูกอยากเห็นประชาธิปไตย ไปต่อสู้แล้วเสียชีวิต คนเป็นพ่อก็แบกความทุกข์กับลูกที่เสียชีวิตมายาวนานกว่า 29 ปี ดังนั้นท้ายๆของชีวิตที่เขาต้องการให้บ้านเมืองดีขึ้นนั้น ก็มีความเข้าใจและเห็นใจ โดยเข้าไปในฐานะนายจตุพร พรหมพันธุ์ คนที่ผ่านเหตุการณ์พฤษภาคนหนึ่ง ได้ประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่าพลเอกประยุทธ์ คือ ปัญหาของชาติ และปัญหาทั้งหมดของประเทศในขณะนี้ที่เกิดวิกฤตในทุกๆด้าน ล้วนมาจากพลเอกประยุทธ์ เพราะพลเอกประยุทธ์เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดในสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นแบบนี้ นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้อย่าเอาความรู้สึกที่มีต่อตนเป็นตัวตั้ง แต่จงเอาความเดือดร้อน ความเหลื่อมล้ำของประเทศนี้ การไม่รักษาคำมั่นสัญญาของผู้นำประเทศในประเทศนี้ เอามาเป็นตัวตั้ง ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดเวลานี้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่รับพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้ ดังนั้นหนทางที่เราเดินต่อไปนี้นั้นเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาชาติอย่างแท้จริง และที่สำคัญที่สุดแต่ละฝ่ายต่างใช้สิทธิเสรีภาพ ตามความเชื่อของเรา ซึ่งตนก็เชื่อของตนมาอย่างนี้ โดยเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่พลเอกประยุทธ์ และพลเอกประยุทธ์คือศูนย์กลางของปัญหาชาติ ดังนั้นการไม่อยู่ของพลเอกประยุทธ์ ส่งผลให้ปัญหาของชาติจะได้รับการแก้ไขในทุกมิติ