ศาลขอนแก่นยกฟ้องเครือข่ายเสี่ยสมชาย นายทุนเงินกู้รายใหญ่ภาคอีสาน หลังถูก “บิ๊กโจ๊ก” จับพร้อมพวกรวม 4 คนที่ขอนแก่น เมื่อปี 61 ขณะที่ผู้เสียหายเตรียมยื่นอุทธรณ์สู้คดี
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 31 มี.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลชั้นต้นของศาล จ.ขอนแก่น ได้นัดอ่านคำพิพากษา คดีดำเลขที่ อ.3054/61 ระหว่างพนักงานอัยการ จ.ขอนแก่นฝ่ายโจทก์ กับ นายเด่นชัย ศิริศรีมังกร จำเลยที่ 1 พร้อมพวกในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยเมื่อถึงเวลานัดหมายพนักงานอัยการ พร้อมผู้เสียหายในคดีดังกล่าวจำนวนมากได้มารายงานตัวต่อศาล ขณะที่จำเลยได้เดินทางมาพร้อมทนายความ ซึ่งศาลได้อนุญาตให้ฝ่ายโจทก์ และจำเลยเข้าไปในห้องพิจารณาคดีที่ 12 และไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนหรือผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อ
เข้าไปสังเกตการณ์หรือรับฟังการอ่านคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแต่อย่างใดและกำหนดจุดให้พักรอที่ศาลาพักญาติด้านหน้าศาลเท่านั้น
โดยศาลชั้นต้นของศาล จ.ขอนแก่น ได้ใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษานานกว่า 5 ชม. จึงมีคำสั่งยกฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดและมีคำสั่งให้ชดเชยค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายบางคน ทำให้ผู้เสียหายที่มารับฟังคำพิพากษาของศาล ซึ่งเมื่อได้ฟังคำสั่งศาลจึงต่างพากันเดินออกมาจากห้องพิจารณาคดีและมาพูดคุยกันกับทนายความที่ศาลาพักญาติเพื่อหาแนวทางในการต่อสู้คดีต่อไป
นายเชิดพงษ์ แพ่งสองพร ทนายความ กล่าวว่า คดีความดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ พล.ต.ท.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ ผบช.ภ.4 ขณะนั้น กับ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. ในขณะนั้นได้ขอหมายค้นจากศาลจ.ขอนแก่น ตรวจค้นนายทุนเงินกู้นอกระบบในจังหวัดขอนแก่น โดย นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้น 5 จุด ซึ่งเป็นเครือข่ายนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยเกินจากที่กฎหมายกำหนดซึ่งเป็นเครือข่ายของนายสมชาย ศิริศรีมังกร หรือเสี่ยสมชาย พร้อมอายัดทรัพย์ทั้งหมดมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท โดยในคดีดังกล่าวมีผู้เสียหายรวม 77 คน ซึ่งการดำเนินงานของตำรวจนั้นได้มีการสั่งฟ้องตามขั้นตอนจนกระทั่งถึงวันนี้เป้นวันที่ศาลชั้นต้นของ ศาล จ.ขอนแก่น ได้นัดอ่านคำพิพากษา ในดคีดังกล่าว โดยมีคำสั่งยกฟ้องจำเลยทั้งหมด และมีคำสั่งให้ชดเชยให้กับผู้เสียหายเป็นบางคน
“ การจับกุมดังกล่าวของทางเจ้าหน้าที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งวันนี้ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษา ใน 4 ข้อกล่าวหา ประกอบด้วยฉ้อโกงประชาชน,ร่วมกันฉ้อโกง,พรบ.อัตราดอกเบี้ยและพรบ.กระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเปิดทำการให้กู้ยืมโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งศาลมีคำสั่งยกฟ้องจำเลยทั้งหมด และมีคำสั่งให้มีการชดเชยให้กับผู้เสียหายบางคน ตามที่ศาลกำหนด ซึ่งทุกคนน้อมรับคำสั่งศาล และได้มีการหารือกันกับพนักงานอัยการในการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอีกครั้ง”
ขณะที่ นายกฤตภาส ธนบูลศิริพงศ์ 1 ใน 77 ผู้เสียหาย กล่าวว่า ครอบครัวได้ขายฝากที่นา จำนวน 35 ไร่ ให้กับนายทุนรายนี้ เพราะเห็นติดป้ายประกาศไว้หน้าร้านแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลนครขอนแก่น เพราะต้องการลดขั้นตอนการดำเนินการกับทางธนาคารที่มีขั้นตอนทางเอกสารที่ซับซ้อน จึงตัดสินใจนำที่นามรดกผืนสุดท้ายไปจำนองกับนายทุนตกลงกู้ในราคา 1,000,000 บาท แต่ทางนายทุนทำสัญญา 1,100,000 บาท แล้วเขียนรายละ เอียดการกู้ ดอกเบี้ย ใส่บนกระดาษแผ่นเล็ก โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 3 นอกจากนี้ยังเก็บดอกเบี้ยเพิ่มเป็นร้อยละ 5 โดยนายทุนอ้างว่าต้องไปยืมเงินคนอื่นมาจ่ายให้
“ในระยะแรกหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยชำระตามที่ตกลงกันไว้ ผ่านไป 6 เดือนที่นำไปขายฝาก ซึ่งครบตามเวลาที่ตกลงกันไว้ รวบรวมเงินมาได้จนครบที่กู้ยืมไป 1,000,000 บาท จึงติดต่อขอไถ่ถอนที่ดินคืน แต่นายทุนกลับประวิงเวลาออกไป โดยอ้างว่าจะต่อสัญญาให้ เมื่อติดต่อไปทางนายทุนก็บ่ายเบี่ยง ทำให้ครบระยะเวลาสัญญาขายฝาก ทำให้ที่ดินตกเป็นของนายทุนทันที พร้อมทั้งบอกว่าจะขายคืน 7,000,000 ล้านบาท จึงไม่มีหนทางที่จะหาเงินมาไถ่ถอนที่นาได้ ตอนนี้ที่นาทั้งหมด 35 ไร่ ตกเป็นของนายทุนเงินกู้แล้ว และเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่านายทุนได้ให้คนเช่า แต่เนื่องจากน้ำท่วมก็ไม่พบว่าทำประโยชน์อะไรอีก วันนี้ศาลตัดสินยกฟ้อง โดยระบุว่าคดีหมดอายุความ ผู้เสียหายทุกคนจึงตักสินใจมอบหมายให้ทนายความและพนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์ตามขั้นตอนของศาลต่อไป”