เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 31 มี.ค. 64 ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า ที่ประชุมศบค. ชุดเล็ก ได้หารือเรื่องมาตรการผ่อนคลายการกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ปัจจุบันผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยต้องกักตัว 14 วัน จากนี้จะมีการกักตัวแยกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มที่หนึ่งจะมีการกักตัวเพียง 7 วัน หากเป็นชาวต่างชาติจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 14 วันก่อนการเดินทางแล้ว
กลุ่มที่สองรับการกักตัว 10 วัน กลุ่มนี้จะเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนมาแล้วแต่ยังไม่ถึง 14 วันก่อนการเดินทาง หรือได้รับวัคซีนยังไม่ครบ 2 โดส กลุ่มที่สาม เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีรายงานสายพันธุ์กลายพันธุ์ กลุ่มนี้จะต้องมีการกักตัวอย่างน้อย 14 วัน เช่น สายพันธุ์แอฟริกา บราซิล อังกฤษ หรือในอนาคตอาจมีสายพันธุ์ที่เพิ่มเติม ทั้งสามกลุ่มนี้จะมีการนับเวลาของวันเริ่มที่เที่ยงคืนถึง 6 โมงเย็น หมายความว่าหากเดินทางมาถึงประเทศไทยตอน 18.00 น. จะนับวันเดินทางที่เดินทางถึงเป็นวันที่หนึ่งในการเข้าสู่สถานกักกัน แต่ถ้าเดินทางถึงประเทศไทยเวลา 19.00 น. จะนับวันที่หนึ่งของการกักตัวเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่มาถึงประเทศไทย
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า นอกจากนี้ มีการทบทวนเรื่องการตรวจค้นหาเชื้อต่างชาติก่อนที่จะเดินทาง เขาจะต้องมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และยืนยันไม่มีรายงานการติดเชื้อคือเป็นลบจึงสามารถเดินทางเข้าประเทศ กลุ่มนี้เราจะตรวจผลโควิด-19 ครั้งที่หนึ่งในวันที่ 5-6 แต่สำหรับกรณีคนไทยที่เดินทางกลับบ้าน ซึ่งไม่ได้มีการตรวจโควิด-19 ก่อนเดินทาง จะมีการตรวจหาโควิดแบบสวอปตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึงประเทศไทยและตรวจอีกครั้งในวันที่ 5-6 นี่คือกลุ่มกักตัว 7 วัน ส่วนกลุ่มที่มีการกักตัว 10 วันจะมีการตรวจโควิดสองครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 3 - 5 และตรวจอีกครั้งวันที่ 9-10
ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่มีการกักตัว 14 วัน จะมีการตรวจหาโควิดโดยวิธีการสวอปสามครั้ง ครั้งที่หนึ่งคือวันที่เดินทางถึงประเทศไทยในวันแรก ครั้งที่สองในวันที่ 6-7 และครั้งที่สามคือวันที่ 12-13 ทั้งนี้ ทุกกลุ่มยังมีกำหนดด้วยว่าจะต้องอนุญาตให้มีระบบติดตามตัวจนครบ 14 วันถึงแม้ว่าจะออกจากสถานกักกันไปแล้ว นี่คือ ข้อสรุปในเบื้องต้นที่จะรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. ในวันเดียวกันนี้ (31 มี.ค.) หากได้รับความเห็นชอบจะมีการประกาศใช้ในวันที่ 1 เม.ย.
เมื่อถามถึงรายชื่อจังหวัดที่จะได้รับวัคซีนทั่วประเทศมีการบริหารจัดการอย่างไร พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ทุกพื้นที่ทุกจังหวัดไม่ได้ตกสำรวจ ศบค.ให้ความสำคัญกับทุกพื้นที่ แต่ด้วยในช่วงแรกปริมาณวัคซีนมีจำกัด จึงมุ่งเน้นไปยังพื้นที่เสี่ยง ศบค.รับฟังข้อมูลจากทุกพื้นที่ พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงก็จำเป็นต้องระดมวัคซีนเข้าไปช่วยดูแลพื้นที่ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปพื้นที่อื่น