“ทิพานัน” ย้ำวงเสวนา คปร. กล่าวหาปรักปรำฝ่ายเดียว โต้ไม่มีเผด็จการรัฐสภาและระบอบประยุทธ์ ย้ำประเทศไทยมีระบอบเดียวคือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่วงเสวนาของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (คปร.)เรื่อง “ชำแหละ 7 ปี พล.อ.ประยุทธ์ พาชาติติดหล่ม?” กล่าวหา ระบบ 3 ป. บริหารงานผิดพลาด พาชาติพังยิ่งกว่าเผด็จการรัฐบาลทักษิณ นั้นไม่เป็นความจริง และต้องออกมาย้ำข้อมูลที่ถูกต้องเพราะสังคมกำลังสับสนกับข้อมูลจากวงเสวนาที่เป็นข้อกล่าวหาที่ใช้วาทกรรมเกินจริงโดยไม่มีข้อมูลหลักฐานที่ถูกต้องรองรับ เป็นเพียงข้อมูลที่เน้นอารมณ์ ตรงกันข้ามการบริหารประเทศของรัฐบาลมีประสิทธิภาพ ในขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง แต่สำหรับประทศไทยที่ประสบความสำเร็จในการรับมือวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ติดอันดับต้นของโลก และการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้สถาบันจัดอันดับเครดิตของโลก ได้แก่ มูดี้ส์ ฟิทช์ และ สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับมีเสถียรภาพ อีกทั้ง R&I ของญี่ปุ่น คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับมีเสถียรภาพเช่นกัน อีกทั้งขอย้ำว่า รายงานทางเศรษฐกิจของบลูมเบิร์กที่พิจารณาจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงิน 11 ปัจจัย ได้ประเมินให้ไทยเป็นอันดับ 1 ของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุนมากที่สุดในโลกของปี 2564 นำหน้าอีก 16 ประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่เพราะเห็นว่าไทยมีเงินทุนสำรองที่มั่นคงและมีโอกาสสูงที่จะเกิดการไหลเข้าของการลงทุนในรูปแบบหุ้น-ตราสารหนี้ สอดคล้องกับข้อมูลสถิติปี 2564 ว่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ BOI มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยปี 2563 มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติและจัดตั้งบริษัทเรียบร้อยแล้วมาออกบัตรส่งเสริมกว่า 1,300 โครงการ เงินลงทุนรวม 430,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน ดังนั้นจึงสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาลที่สามารถทำได้ดีในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ ตอกย้ำว่าข้อกล่าวหาจากวงเสวนานั้นเกินจริง คล้ายจงใจใส่ร้าย เป็นการกล่าวหาปรักปรำฝ่ายเดียว น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า หากดูจากท่าทีของสถาบันจัดอันดับเครดิตของโลกรวมทั้งรายงานของบลูมเบิร์ก จะพบว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังนำพาประเทศชาติไปในทิศทางการพัฒนาที่ดีขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับข้อกล่าวหาว่าพาชาติพังอย่างสิ้นเชิง ขณะนี้ประเทศกำลังจะพ้นวิกฤต พี่น้องประชาชนกำลังได้รับการฟื้นฟูเยียวยาโดยเฉพาะมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลที่ IMF ชื่นชมในการออกมาตรการดูแลที่สอดประสานกันและมองว่าไทยออกมาตรการกระตุ้นบริโภค ช่วยเหลือประชาชนฐานรากได้ดี ตั้งแต่มาตรการชิมช้อปใช้ จนถึงโครงการคนละครึ่ง ขณะที่นโยบายการเงินของไทยก็เข้ามาช่วยผ่อนคลายเรื่องดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ทั้งซอฟต์โลนที่ช่วยเหลือ SME รวมทั้งมาตรการพักชำระหนี้ ที่ทำให้ภาคธุรกิจประครองธุรกิจต่อไปได้ สำหรับเสียงตอบรับจากประชาชน พ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการรายย่อย ต่างก็ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ทุกภาคส่วนจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการม. 33เรารักกัน และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งยังจะมีมาตรการอื่นๆ ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งที่มียอดการใช้จ่ายสะสมถึง 25 มี.ค. 100,042 ล้านบาทในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศก็มีเสียงสนับสนุนจากประชาชนที่ชื่นชอบและเรียกร้องจนต้องขยายในเฟสที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้หลังผ่านช่วงเดือน พ.ค. โดยจะสอดรับกับแผนการฉีดวัคซีนให้กับพี่น้องประชาชน และมาตรการการเปิดประเทศเพื่อเร่งฟื้นตัวการท่องเที่ยว ส่วนกรณีที่ประธาน คปร.และอาจารย์คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวหาว่าระบอบประยุทธ์เป็นระบบสมบูรณ์แบบเข้มข้นกว่าระบบสภาเผด็จการ ยิ่งกว่าระบอบทักษิณนั้น ขอชี้แจงว่า รัฐบาลนี้เป็นประชาธิปไตย ไม่มีเผด็จการรัฐสภา จึงไม่ควรสร้างวาทกรรมเรื่องระบอบประยุทธ์ไปเปรียบเทียบกับระบอบทักษิณ เพราะวันนี้ประเทศไทยมีระบอบเดียวคือ ระบอบประชาธิปไตยกันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่รัฐบาลนี้เคารพหลักการ ปฏิบัติตาม และเทิดทูน จรรโลงอย่างเคร่งครัด น.ส. ทิพานันกล่าว