เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ณ ห้องบอลรูม โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ บริษัท NTT DATA IOMC (NTT DATA Institute of Management Consulting, Inc.,) ผู้นำธุรกิจด้านให้คำปรึกษาและจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีโซลูชันแบบครบวงจรแก่ลูกค้าภาครัฐ และภาคเอกชนในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 30 ปี ร่วมกับ บริษัท เฮาส์ออฟเอ็ม จำกัด พันธมิตรที่ได้รับเลือกในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าว “NTT DATA Institute of Management Consulting, Inc., NTT DATA IOMC Open House - DESIGN FOR FUTURE” เพื่อเปิดตัวนวัตกรรมและโซลูชั่นจากประเทศญี่ปุ่น นำโดย คุณภูวนาท เทียนเนียม ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท NTT DATA IOMC พร้อมเผยถึงทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2564 ด้วยการนำโซลูชันอัจฉริยะถึง 3 ด้าน มาเพื่อทำให้หน่วยงานภาคธุรกิจเอกชนและอุตสาหกรรมต่าง ๆ สามารถพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุค NEXT NORMAL โดยโซลูชันอัจฉริยะทั้ง 3 ด้าน ประกอบไปด้วย โซลูชัน Supply and Demand Optimization การเพิ่มประสิทธิภาพในอุปสงค์ โซลูชัน Venture Builder – Building Valuable Partnership การสร้างความร่วมมือในเชิงธุรกิจระหว่างภาคธุรกิจและกลุ่มสตาร์ทอัพ และการขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยโซลูชัน JCM (JOINT CREDITING MECHANISM) “คุณภูวนาท เทียนเนียม” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท NTT DATA IOMC เผยถึงงานแถลงข่าว NTT DATA Institute of Management Consulting, Inc., NTT DATA IOMC Open House - DESIGN FOR FUTURE ว่า “NTT DATA IOMC เป็นผู้นำธุรกิจด้านให้คำปรึกษาและจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีโซลูชันแบบครบวงจรแก่ลูกค้าภาครัฐ และภาคเอกชนในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 30 ปี ในปัจจุบันเราจึงมุ่งหวังที่จะยกระดับการบริหารจัดการ การพัฒนาศักยภาพ และสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจในแก่ลูกค้าในประเทศไทย และอาเซียน จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท เฮาส์ออฟเอ็ม พันธมิตรที่ได้รับเลือกในประเทศไทย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ มาร่วมกันนำโซลูชันขั้นสูงมาส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม สร้างมูลค่าให้กับสินค้าและบริการของลูกค้าในประเทศไทย และอาเซียน ก้าวสู่ระดับสากล” ด้าน “คุณมนมนัส ธาดาอำนวยชัย” ซีอีโอ บริษัท เฮาส์ออฟเอ็ม จำกัด เปิดเผยว่า “เฮาส์ออฟเอ็ม รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรในประเทศไทยของ NTT DATA INSTITUTE OF MANAGEMENT CONSULTING, Inc. เฮาส์ออฟเอ็มมีความเชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ รวมถึงเข้าใจวิสัยทัศน์ในท้องถิ่นผ่านประสบการณ์ของเรากับหน่วยธุรกิจองค์กรและอุตสาหกรรมในประเทศไทย นี่เป็นเกียรติและโอกาสที่ดีของเราที่ NTT Data IOMC ได้ลงนามในข้อตกลงในนามของการขายและการตลาดสำหรับโซลูชันขั้นสูงและมีความเป็นอัจฉริยภาพจาก NTT DATA IOMC สู่ตลาดประเทศไทย เรากำลังมองหาเส้นทางการแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อสร้างความยั่งยืนมากขึ้นใน NEXT NORMAL ปัจจุบันเราสนับสนุนให้จัดการกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านสังคมและเทคโนโลยีในทันที เราจำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยโซลูชันที่โดดเด่นของ NTT Data IOMC และทำการรวมโซลูชันทั้งหมดนี้เข้าสู่ประเทศไทยครับ” โดยในวันนี้ได้เปิดตัวนวัตกรรมสุดก้าวล้ำนำสมัย ถึง 3 โซลูชั่น ที่พร้อมช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์มุมมองของอนาคตอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์และนโยบายที่มุ่งเชื่อมโยงข้อมูลจากปัจจุบันและคาดการณ์สถานการณ์ข้อมูลในอนาคต และยังเน้นให้เกิดการประกอบธุรกิจด้วยความยั่งยื่น ประกอบไปด้วย 1. โซลูชัน Supply and Demand Optimization การเพิ่มประสิทธิภาพในอุปสงค์ โซลูชันนี้คือการใช้ข้อมูลบนโซเชียลต่างๆ (Social Listening) และ ID-POS สำหรับการวิเคราะห์โดย AI และทีมที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านข้อมูลเชิงลึก การรับฟังข้อมูลจากโลกออนไลน์หรือ Social Listening เพื่อจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจแนวโน้มของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีศักยภาพ ในทางกลับกัน ID-POS จะช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงคุณลักษณะของลูกค้าแต่ละราย และคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ผ่านข้อมูลประวัติการใช้ (History Data) เพื่อสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐศาสตร์ให้กับธุรกิจและอุตสาหกรรมได้ การเพิ่มประสิทธิภาพอุปสงค์และอุปทานเป็นโซลูชันที่สามารถช่วยให้ธุรกิจเห็นแนวโน้มและคาดการณ์ในเชิงธุรกิจได้ การลดต้นทุนในขณะที่เพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้สูงสุด การสร้างมาตรฐานในการทำงานที่ลดภาระการทำงานที่ซับซ้อน โดยการสร้างแพลตฟอร์มการใช้แอปพลิเคชันในเชิงบริหารกระบวนการต่างๆ ปัจจัยดังกล่าวนี้คือกุญแจสำคัญมุ่งสู่การเติบโตของผู้ค้าปลีกรุ่นต่อไป 2. โซลูชัน Venture Builder – Building Valuable Partnership การสร้างความร่วมมือในเชิงธุรกิจระหว่างภาคธุรกิจและกลุ่มสตาร์ทอัพ โซลูชัน Venture Builder เป็นโซลูชันที่ NTT DATA IOMC ร่วมกับ Finmirai (ฟินมิรัย) ร่วมกันสร้างวิธีใหม่สำหรับสถาบันการเงินในการคิดค้นและเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพทางการเงิน ที่จะช่วยสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมและการดำเนินการที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าและคุณค่าของสถาบัน การมุ่งเน้นที่คุณค่าของเราช่วยให้ลูกค้าสามารถเร่งการเน้นไปที่ เวลาแห่งคุณค่า Time to Value (TTV), เวลาแห่งคุณภาพ Time to Quality (TTQ) และ เวลาแห่งการวัด Time to Scale (TTS) และ Fintech ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างและปรับขนาดแพลตฟอร์มของสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับเศรษฐศาสตร์ในยุคดิจิทัล 3. โซลูชัน JCM (Joint Crediting Mechanism) การขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วยโซลูชัน JCM (Joint Crediting Mechanism) เป็นแนวคิดพื้นฐานของโครงการจัดหาเงินทุน JCM ซึ่งเป็นการสนับสนุนทางการเงินสำหรับโครงการที่สามารถลดคาร์บอนในการประกอบธุรกิจ ด้วยพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานหมุนเวียน หรือโครงการที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผล การดูแลระบบจัดการขยะและการกำจัดของเสีย หรือแม้กระทั่งการขนส่ง ซึ่ง JCM จะสามารถสนับสนุนทางการเงินได้ถึง 50% ตามจำนวนโครงการที่เลือกสรรไว้ โดยโครงการที่อยู่ในเขตการพิจารณาจะต้องเป็นโครงการที่เริ่มการติดตั้งหลังจากสรุปสัญญาการเงินและติดตั้งให้เสร็จภายใน 3 ปี มีการดำเนินการวัดผล และจัดทำรายงานและการตรวจสอบ (MRV) ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการออก JCM Credits ในปัจจุบันเราได้สนับสนุนโครงการในประเทศไทยไปแล้วกว่า 38 โครงการ โดยงบประมาณในปี 2563 จะอยู่ที่ 9 พันล้านเยน ( ประมาณ90 ล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งหนึ่งในโครงการที่เราเคยสนันสนุนในประเทศไทยคือ การกู้คืนความร้อนเหลือทิ้งสำหรับระบบผลิตไฟฟ้า 12MW ของโรงงานปูนซีเมนต์ โดยมีแผนที่จะนำระบบเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไอน้ำความร้อนทิ้ง (WHR) ซึ่งเป็นโครงการที่จะมีส่วนช่วยในการลดก๊าซเรือนกระจกทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากโครงข่ายไฟฟ้า