เมื่อวันที่ 29 มี.ค. เวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์  ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวถึงที่กรณีโรงพยาบาลเอกชนสามารถจัดหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนได้หรือไม่ว่า ที่ผ่านมาภาครัฐไม่ได้ห้าม แต่เน้นเรื่องของความปลอดภัย เพราะวัคซีนเป็นการอนุญาตใช้ในภาวะฉุกเฉิน ผ่านการรับรองขององค์การอนามัยโลก (WHO) และสิ่งที่รัฐบาลย้ำคือจะต้องได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข และที่ผ่านมาวัคซีนทั่วโลกถือว่ามีการผลิตอย่างจำกัด และมีการเฝ้าระวัง ดูเรื่องความปลอดภัย จะต้องมีการเก็บข้อมูลการวิจัย และส่วนหนึ่งวัคซีนที่ผลิตได้อาจจะได้รับการจัดสรรไปทางประเทศแทบอเมริกาและยุโรปเป็นหลัก จึงทำให้ภาคเอกชนอาจจะไปหาซื้อวัคซีนเอง ซึ่งเป็นไปได้ยาก แต่จากนี้ต่อไปเนื่องจากการผลิตมีมากขึ้นจะได้เริ่มเห็นวัคซีนหลายบริษัทที่มีรายงานว่าผ่าน อย. ซึ่งเมื่อมีวัคซีนมากขึ้นการกระจายไปที่เอกชนก็อาจจะเป็นไปได้ พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ทาง ศบค. ชุดเล็กได้หารือกันในวันนี้ร่วมกับทางสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรม ได้นำเรื่องการกระจายวัคซีนในภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมนำเสนอศบค. ชุดเล็กในวันเดียวกันนี้ด้วย ตลอดสัปดาห์นี้จะมีการหารือสภาหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรม ด้วยว่าในกรณีของประชาชนกลุ่มเสี่ยงและอยู่ในภาคเอกชน หรือภาคธุรกิจ หรือผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางเข้าออกต่างประเทศจะต้องมีการกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงอย่างไร โดย ศบค.จะหารือในสัปดาห์นี้ ซึ่งเราคงต้องติดตามกันรวมไปถึงมาตรการการผ่อนคลายที่ในสัปดาห์นี้จะมีการหารือกับทุกภาคส่วน ทุกกระทรวง เช่น กระทรวงศึกษาธิการที่จะต้องมีมาตรการควบคุมป้องกันโรค โควิด-19 ที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน, กระทรวงคมนาคมที่จะต้องนำมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ไปหารือกับทางสถานีขนส่ง ระบบตรวจส่งสาธารณะ และท่าอากาศยาน, กระทรวงแรงงานที่จะต้องมีมาตรการดูแลแรงงานต่างด้าว แรงงานตามฤดูกาล, กระทรวงพาณิชย์ที่จะต้องดูแลเรื่องการค้าแนวชายแดน, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, กระทรวงวัฒนธรรม กรมการศาสนา ซึ่งจะมีการหารือศบค. ชุดเล็กในสัปดาห์นี้ เพื่อหามาตรการการจัดกิจกรรมทางศาสนา การเดินทางข้ามจังหวัด การสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยว การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ จะมีมาตรการออกมารองรับอย่างไร เพื่อให้เราสามารถเตรียมเปิดประเทศได้อย่างเต็มรูปแบบตามที่นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำไว้ว่า ทุกกระทรวง ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องนำเสนอมาตรการที่เป็นไปตามการผ่อนคลาย 3 เฟส ที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงอยากให้ติดตามกันภายในสัปดาห์นี้