โปรดเกล้าฯ พ.ร.ฎ.เปิดประชุมรัฐสภาวิสามัญ 7 เม.ย.นี้ “พท.”หวั่นกม.ประชามติถูกคว่ำเหมือน “รธน.” จี้รบ.แสดงความจริงใจก่อนเร่งปชช.ลงถนน ด้าน “จนท.ควบคุมฝูงชน” ระดมกำลังเข้าเคลียร์พื้นที่“หมู่บ้านทะลุฟ้า” ข้างทำเนียบฯ ไร้ปะทะ พร้อมจับกุมผู้ชุมนุมดำเนินคดีข้อหาฝ่า “พรบ.โรคติดต่อ-พรก.ฉุกเฉิน” ส่วน“แรมโบ้” แฉ “หมู่บ้านทะลุฟ้า”ซุกกัญชา-ถุงยางเพียบ ซัดเรียกร้องประชาธิปไตยแค่บังหน้า “ธนกร”เบรก“จตุพร”ระวังเป็นเครื่อง มือพวกล้มเจ้า แนะใช้ชีวิต new normalยัน “บิ๊กตู่” มาเพื่อแก้ปัญหา
เมื่อวันที่ 28 มี.ค.64 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พ.ศ.2564 โดยมีเนื้อหาดังนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ สมควรที่จะเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 122 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย.64 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเสร็จแล้ว แต่มีความกังวลว่าจะถูกคว่ำเหมือนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า พ.ร.บ.ประชามติถูกผูกโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งแบบรายมาตราและแบบแก้ไขทั้งฉบับ เสนอโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ผ่านคณะรัฐมนตรี ให้เป็นเรื่องพิจารณาเร่งด่วน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ บอกว่า รัฐบาลเป็นคนเสนอ ร่างพ.ร.บ.ประชามติเอง จะตกไม่ได้ ถ้าตกรัฐบาลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือยุบสภา พ.ร.บ.ประชามติเป็นกฎหมายปฏิรูปที่สำคัญ คู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้จะมีความพยายามในการคว่ำโดยการออกมาสร้างความสับสนเตะถ่วง หรือถึงขั้นวางแผนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกครั้งว่า ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนอาจทำให้ร่างพ.ร.บ.ประชามติต้องถูกควํ่าลงไปอีก ประชาชนมองออกว่าระบอบสืบทอดอำนาจประยุทธ์ ได้ประโยชน์สูงสุด หากเครือข่ายระบอบสืบทอดอำนาจไม่เร่งแสดงความจริงใจเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ประชาชนลงสู่ท้องถนนมากยิ่งขึ้น
ส่วน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การแบ่งงานในกระทรวงพาณิชย์ ให้ นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ ที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ว่า คงจะแบ่งงานเหมือนเดิม โดยให้ดูแล 3 กรม และ 3 องค์การมหาชน โดยเชื่อว่าจะมาช่วยแบ่งเบาภาระได้มากพอสมควร ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่ารมช.มาจากพรรคเดียวกัน อาจจะไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันนั้น ไม่มียกเว้นและต้องถูกตรวจสอบได้
เมื่อถามว่า นายกฯ ระบุว่าการปรับ ครม.ที่มีการสลับตำแหน่งในกระทรวง เนื่องจากเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน แสดงว่าที่ผ่านมาการทำงานเกิดปัญหาด้านการสื่อสารที่ไม่ตรงกันหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนทำงานกับรัฐมนตรีช่วยจากพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ทุกอย่างราบรื่นดี และทำงานร่วมกันด้วยดี ซึ่งรัฐมนตรีช่วยก็พูดชัดว่า ทำงานร่วมกับตนได้เป็นอย่างดี ไม่มีปัญหา ฉะนั้นมีความเข้าใจทุกอย่างดี ไม่ได้หมายความว่าพอเป็นรัฐมนตรีว่าการ หรือรัฐมนตรีช่วยคนละพรรคแล้วจะไปกีดกันไม่ให้เขาทำงาน หรือไปแบ่งงาน แบบครึ่งกรม แบบนี้ไม่ทำกัน แต่มีบางกระทรวงทำเหมือนกัน ซึ่งไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น สำหรับตนไม่ทำ เรามีวุฒิภาวะพอในทางการเมือง ถ้ามอบก็มอบเขาไป แล้วเขาก็จะได้รับผิดชอบสั่งปฏิบัติราชการได้
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 06.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการอารักขา และควบคุมฝูงชน(อคฝ.3)จำนวน 3กองร้อยได้เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้า ที่ได้ปักหลักชุมนุมบริเวณซอยสะพานชมัยมรุเชฐข้างทำเนียบรัฐบาล ด้านถนนพระราม5ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.64 เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยแกนนำ กลุ่มราษฎรและแนวร่วมที่ถูกจับกุม แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ยกเลิกมาตรา 112 และนายกฯ ต้องลาออก โดยไม่มีการปะทะแต่อย่างใด พร้อมจับกุมผู้ชุมนุมทั้งชายและหญิง ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุ ขึ้นรถผู้ต้องขังนำตัวไปดำเนินคดีในข้อหา ฝ่าฝืนพ.ร.บ.โรคติดต่อ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ขณะที่ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ กล่าวว่า การขอคืนพื้นที่หมู่บ้านทะลุฟ้า เป็น การทำตามกฎหมาย ซึ่งการชุมนุมเป็นการทำผิดกฎหมาย ประชาชน และโรงเรียนในบริเวณใกล้เคียง รวมถึงผู้ที่สัญจรไปมาได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากมีการใช้เครื่องขยายเสียงที่มีเสียงดังทุกวัน
“ตั้งข้อสังเกตว่าแท้จริงแล้วกลุ่มผู้ชุมนุมที่มาตั้งหมู่บ้านทะลุฟ้าที่ข้างทำเนียบรัฐบาล แท้จริงแล้วมาเรียกร้องประชาธิปไตยหรือตามข้อเรียกร้อง 4 ข้อ หรืออยากใช้สถานที่เป็นที่มั่วสุมกันหรือไม่ เพราะจากที่ตำรวจเข้าขอคืนพื้นที่นั้นตนเองทราบมาว่ามีทั้งถุงยางอนามัย กัญชาอัดแท่ง ใบกระท่อม มีดอาวุธ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปยัดหลักฐานเท็จ หรือป้ายสีให้กับผู้ชุมนุมเด็ดขาด ผมอยากขอผู้ชุมนุมอย่าอาศัยจังหวะ ว่าตำรวจไม่เข้าไปตรวจค้นหมู่บ้านทะลุฟ้า แล้วจะทำการมั่วสุมกันได้อย่างสบายใจ โดยใช้การเรียกร้องประชาธิปไตยมาบังหน้า ซึ่งผมถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าอับอายที่สุด”
ส่วน นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เตรียมเคลื่อนไหวขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ว่า ด้วยมิตรภาพที่ดีตนอยากจะเตือนสตินายจตุพรอย่างหวังดี อย่าสร้างปัญหาให้กับประเทศอีกเลย ที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์มาแล้ว มีการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองเสียหาย เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ อย่าหวนกลับไปสู่จุดนั้นอีกเลย ขอให้เห็นแก่ประเทศชาติและประชาชน ยิ่งช่วงนี้ประเทศกำลังประสบปัญหาโควิด-19 ประชาชนกำลังลำบาก อย่าซ้ำเติมประเทศเลย ที่สำคัญ การชุมนุมต่างๆ เสี่ยงกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนกรณีที่นายจตุพรระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวปัญหามาตรา112 นั้นก็ไม่เป็นความจริง พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาแก้ปัญหามากกว่า ใครทำผิดมาตรา112 ก็ต้องรับโทษ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฏหมายเดียวกัน ตนผิดหวังกับนายจตุพรมาก ที่ผ่านมาดูเหมือนนายจตุพรจะคิดได้แล้ว แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาตลอด แต่ทำไมจะออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มที่ต้องการแก้มาตรา112 อยากให้นายจตุพรคิดใหม่ เพราะคนเหล่านี้จาบจ้วงสถาบันที่คนไทยรักและศรัทธา
นายธนกร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายจตุพรกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ไม่รักษาสัญญาในการแก้ไขรัฐธรรม นูญนั้น พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันมาโดยตลอดในการสนับสนุนแก้รัฐธรรมนูญ แต่ทุกอย่างควรเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลก็เข้าใจดี หลังจากนี้ก็สามารถดำเนินการได้ นายจตุพรมีประสบการณ์มากมายในการเคลื่อนไหว อย่านำประเทศไปสู่วิกฤติอีกเลย และที่บอกว่า ส.ส. สว.ไม่กล้าขัดใจพล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เป็นความจริง ท่านนายกฯ ไม่สามารถไปแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติได้ ไม่เหมือนในสมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ที่สามารถแทรกแซงทุกองค์ได้จนนำมาซึ่งวิกฤตของประเทศ ตนอยากจะให้จตุพรเข้าใจ ไม่อยากให้ตกเป็นเครื่องมือของพวกล้มเจ้า ที่ผ่านมานายจตุพรเดินมาถูกทางแล้ว อย่าเดินผิดทางเลย ขอให้เป็นจตุพร new normal ดีกว่า
ส่วน ซูเปอร์โพล เสนอผลการสำรวจภาคสนาม พบว่า ร้อยละ 93.7 ต้องการเห็น ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ รวดเร็วฉับไว ทำงานเห็นผลงานแก้ปัญหาของประชาชน ขณะที่ร้อยละ 93.5 ต้องการให้ นายกฯ และรัฐมนตรี เปลี่ยนตัวหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ที่ไม่ตื่นตัว ทำงานตอบโจทย์ตรงเป้าความต้องการของประชาชน ขณะที่ ร้อยละ 90.5 ขอให้ประชาชนอดทน อดกลั้นไม่พากันลงถนน เพราะกลัวซ้ำเติมวิกฤตของประเทศ และความเดือดร้อนของผู้อื่น และร้อยละ 89.6 ระบุว่าวันนี้ ฉันเป็นทุกข์ ฉันกำลังเดือดร้อน