ทะลักไม่หยุด! ทหารจับเมียนมา 30​ คนแอบหลบหนีเข้าไทยที่กาญจน์ 2 เคส เช้าจับเคสแรกได้ 14 คน ส่วนเคสเย็นได้อีก 16 คน เป็นคนต่างด้าวชาวเมียนมาชาย--หญิง​ สู้อุตส่าห์เก็บเงินว่าจ้างขบวนการขนแรงงานเถื่อนพามาทำงานในประเทศไทย​ แต่แล้วก็ถูกหลอกไปทิ้งไว้กลางป่า​ หมดหวังที่จะไปทำงานที่ กทม.และ จังหวัดชั้นใน สูญทั้งเงินค่าจ้างรายละ 12,000 – 17,000 สุดท้ายโดนรวบผลักดันส่งกลับประเทศ​ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนโยบายของนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผวจ.กาญจนบุรี​และ พล.ต.บรรยง ทองน่วม ผบ.พล.ร.9 กกล.สุรสีห์ พล.ต.ต.วรณัน สุขเจริญ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.อ.สิทธิพร จุลปานะ ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ พ.ต.อ.กฤชัย ทองอยู่ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี รักษาการ ผกก.สภ.สังขละบุรี พ.ต.อ.พงษกร อุปพงษ์ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.อ.เฉลิมพล สังข์ต้อง รอง ผบ.ฉก.ลาดหญ้า พ.ต.อ.สุกิจ ก้องจตุศักดิ์ ผกก.ตชด.13 (ค่ายพระพุทธยอดฟ้าฯ) พ.ต.อ.จักร ยังให้ผล ผกก.ตม.จ.กาญจนบุรี (บก.ตม.3) และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้สนธิกำลังร่วมกันตั้งจุดตรวจจุดสกัด รวมทั้งลาดตระเวนเชิงคุณภาพเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทุกชนิดในพื้นที่ 5 อำเภอ ที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา ประกอบด้วย อ.สังขละบุรี อ.ทองผาภูมิ อ.ไทรโยค อ.เมืองกาญจนบุรี และ อ.ด่านมะขามเตี้ย โดยเฉพาะการลักลอบนำพาบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายในช่วงการแพร่ ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยรายแรกเกิดขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น.ของวันนี้ 27 มี.ค.64 ที่ผ่านมา​ ผู้สื่อข่าวรายงานว่างานว่า​ พ.อ.เฉลิมพล สังข์ต้อง รอง ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ทหารชุดหมวดลาดตระเวน(มว.ลว.)ที่ 3 ประจำจุดตรวจบ้านน้ำเกริ๊ก หมู่ 8 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ทหารชุดปฏิบัติการข่าว กกล.สุรสีห์ ได้รับแจ้งจากชุดปฏิบัติการข่าวในพื้นที่ว่า มีบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมาจำนวนมาก หลบซ่อนตัวอยู่ภายในป่าเพื่อรอการเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่บริเวณ ซอย รร.ลาซาลสังขละบุรี หลังรับแจ้งจึงได้สนธิกำลังเดินทางไปตามเส้นทางตามที่ได้รับแจ้ง เมื่อไปถึงบริเวณสวนส้มโอภายในซอย รร.ลาซาลสังขละบุรี พบมีกลุ่มบุคคลต่าวด้าวชาวเมียนมานอนพักหลบอยู่ที่กระท่อมสภาพเก่า เจ้าหน้าที่จึงทำการแสดงตัวเข้าจับกุม จากการตรวจสอบพบว่ามีจำนวนทั้งหมด 14 คน เป็นผู้ชาย 8 คน ผู้หญิง 6 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา เชื้อชาติมอญ 7 คน เชื้อสายเมียนมา 7 คน หลังจากจับกุมตัวเอาไว้ได้ เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจวัดอาการไข้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 ผลการตรวจพบอุณหภูมิไม่เกิน 37.5 องศา แต่เพื่อความไม่ประมาทเจ้าหน้าที่จะได้นำตัวไปตรวจอาการไข้ที่ รพ.สังขละบุรี อีกครั้งหนึ่ง จากการซักถามผู้ต้องหาได้ให้การว่าเดินทางมาจาก จ.เมาะละแหม่ง จ.ปะโค จ.ตะโถ จ.ตาบิวเซยัด ประเทศเมียนมา โดยก่อนหน้านี้แรงงานทั้งหมดได้ติดต่อนายหน้าที่อยู่ฝั่งประเทศเมียนผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ทราบชื่อนายหน้าคือนายวี เป็นชาว จ.ละไม และได้นัดมารวมตัวกันที่ อ.พญาตองซู ตั้งแต่เวลา 10.00 น.ของวันที่ 26 มี.ค.64 ที่ผ่านมา จากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น.ของวันเดียวกัน มีผู้นำพาเป็นชายวัยรุ่นชาวเมียนมา ไม่ทราบชื่อ จำนวน 2 คน มาพบพร้อมกับนำพาเดินข้ามชายแดนเข้ามาฝั่งไทย โดยเดินเท้าเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติบริเวณเส้นทางรถไฟสายเก่าที่อยู่ติดกับวัดพิมละม่อม จากนั้นเดินข้ามลำห้วยซองกาเรีย แล้วไปซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณดังกล่าว ส่วนผู้นำพาได้เดินทางกลับพร้อมกลับแจ้งให้กลุ่มแรงงานทราบว่า จะกลับมาพร้อมกับนำรถยนต์มารับเพื่อไปทำงานในพื้นที่จังหวัดชั้นใน โดยเป้าหมายการทำงานคือที่ กทม.จำนวน 6 คน สมุทรสาคร จำนวน 3 คน สุพรรณบุรี จำนวน 1 คน นครปฐม จำนวน 4 คน โดย 1 ใน 14 แรงงานที่ถูกจับกุม รู้จักนายจ้างและสถานที่ที่จะไปทำงาน แต่แรงงานอีก จำนวน 13 คน ไม่รู้จักนายจ้างและสถานที่ทำงาน ที่สำคัญทั้ง 13 รายไม่รู้ด้วยซ้ำว่า​ จะต้องไปทำงานอะไร แต่จะต้องจ่ายเงินค่าหัวให้กับนายหน้าชาวเมียนมาด้วยกันเป็นเงินจำนวน 12,000 – 16.000 บาท เมื่อไปถึงที่ทำงานนายจ้างจะเป็นคนจ่ายให้ หลังสอบสวนปากคำเป็นที่เรียบร้อย​ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สังขละบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย​ ก่อนที่จะส่งให้กับ ตม.ผลักดันกลับประเทศต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ เมื่อเวลา 18.30 น.วันนี้ 27 มี.ค.64 ที่ผ่านมา พ.อ.เฉลิมพล สังข์ต้อง รอง ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่หมวดลาดตระเวนที่ 3 ประจำจุดกรวดน้ำเกริ๊ก หมู่ 8 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากทหารชุดปฏิบัติการข่าวในพื้นที่ว่า มีแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมากหลบซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณป่าด้านข้างศูนย์เกษตรที่สูง ห่างจากถนนสาย 323 สังขละบุรี-ด่านเจดีย์สามองค์ ประมาณ 100 เมตร หลังจากรับแจ้งเจ้าหน้าที่จึงนำกำลังเดินทางไปตรวจสอบพบว่า​ มีบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมาหลบซ่อนตัวอยู่ใต้กอไผ่ขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังปิดล้อมพร้อมแสดงตัวเข้าจับกุม ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่พบคนนำพาซึ่งเป็นชาวเมียนมา ใช้ความชำนาญเส้นทางวิ่งหลบหนีเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่พยายามไล่ติดตามแต่ก็ไม่สามารถจับกุมตัวได้ สำหรับบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมาที่จับกุมตัวเอาไว้ได้เป็นรายที่​ 2​ ภายในวันเดียว​ มีจำนวนทั้งหมด 16 คน เป็นผู้ชาย 10 คน ผู้หญิง 6 คน จากการตรวจวัดอาการไข้พบอุณหภูมิในร่างกายปกติไม่เกิน 37.5 องศา แต่เพื่อความไม่ประมาทเจ้าหน้าที่จะส่งตัวไปตรวจอย่างละเอียดที่ รพ.สังขละบุรี จากนั้นจึงจะนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สังขละบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายก่อนที่จะส่งตัวให้กับ ตม.กาญจนบุรีเพื่อผลักดับกลับประเทศต่อไป จากการสอบสวนกลุ่มบุคคลต่างด้าวชาวเมียมาทราบว่า เดินทางมาจาก จ.เมาะละแหม่ง จ.พะอัน รวมทั้ง จ.ตาบิวเซยัด และ จ.มุด่ง ประเทศเมียนมา ก่อนหน้านี้ทั้งหมดได้โทรศัพท์ติดต่อกับนายหน้าที่อยู่ฝั่งประเทศเมียนมาด้วยกันเพื่อให้นำพาข้ามเข้ามาทำงานในพื้นที่ประเทศไทย โดยได้มีการนัดหมายรวมตัวกันที่กิ่งอำเภอพญาตองซู ประเทศเมียนมา ที่มีแนวเขตติดกับด่านเจดีย์สามองค์ หมู่ 9 บ้านพระเจดีย์สามองค์ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี โดยได้มารวมตัวกันตั้งแต่เวลาประมาณ 06.00 น.ต่อมาเวลา 10.00 น.ของวันเดียวกันคือวันนี้ ( 27 มี.ค.)มีผู้นำพาเป็นวัยรุ่นผู้ชายชาวเมียนมา เชื้อชาติมอญ ไม่ทราบชื่อ จำนวน 2 คน มาพบที่จุดรวมตัวแล้วนำพาเดินลัดเลาะไปตามชายป่าและหุบเขาแล้วข้ามลำน้ำซองกาเรียเข้ามาหลบอยู่ฝั่งไทยที่บริเวณ ป่าข้างศูนย์เกษตรที่สูง เพื่อรอให้คนขับรถยนต์มารับ เพื่อไปทำงานในพื้นที่ จ.ชลบุรี จำนวน 5 คน สมุทรสาคร จำนวน 4 คน สระบุรี จำนวน 1 คน ราชบุรี จำนวน 2 คน สมุทรปราการ จำนวน 1 คน และ กทม.จำนวน 3 คน โดย 2 ใน 14​ ผู้ต้องที่ถูกจับกุมตัว และจะเดินทางไปทำงานในพื้นที่ จ.ชลบุรี จะไปทำงานกับนายจ้างที่มีอาชีพเพาะพันธุ์ไส้เดือนที่อยู่ อ.ศรีราชา ส่วนอีก 14 คน ไม่ทราบชื่อนายจ้างยังไม่ทราบว่าจะไปทำงานอะไร แต่ทุกคนจะต้องจ่ายค่าหัวให้กับหน้าหน้าชาติเดียวกันเป็นเงิน จำนวน 14,000-17,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง โดยนายจ้างของแต่ละคนจะเป็นคนจ่ายให้เมื่อแรงงานเดินทางไปถึงที่ทำงาน แต่ทั้งหมดก็ต้องมาถูกจับกุมตัวเสียก่อน สาเหตุที่คนต่างด้าวเถื่อนทะลักเข้ามามากช่วงนี้แม้ว่าค่าตัวจะมีราคาสูงมาก แต่แรงงานก็ยังเข้ามาเพื่อไปทำงานยังจังหวัดต่างๆ มาจากจากในประเทศเกิดปัญหาการปฎิวัติยึดอำนาจ รวมถึงโรคโควิด 19 ระบาด อาจทำให้แรงงานต่างต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอดในช่วงอนาคตข้างหน้า​ หากไม่ถูกจับก็รอดไป​ แต่เมื่อถูกจับก็ต้องผลักดันส่งกลับออกไป เพราะป้องกันเชื้อโควิด 19 ที่อาจจะมากลับแรงงานเหล่านี้ได้