เมื่อวันที่ 28 มี.ค.นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ เปิดเผยว่า การจู่โจมสลายหมู่บ้านทะลุฟ้า จับแกนนำแบบเกินกว่าเหตุเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กำลังเป็นสัญลักษณ์หมุดหมายว่า รัฐบาลตกผลึกกับการใช้มาตรการปราบผู้เห็นต่างโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรมอย่างไม่มีวันผ่อนปรนใดๆ อีกแล้ว ทั้งนี้ การใช้ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกสารพัด จนกระทั่งการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างผิดวัตถุประสงค์ ทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ชุมนุม ที่สำคัญผู้ต้องหาไม่ได้รับการประกันตัวจนอยู่ในสภาพถูกลงโทษด้วยการขังคุก ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในขั้นต้นของการดำเนินคดี ขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ให้ถือว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ การบังคับใช้กฎหมายที่เป็นอยู่จึงขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างสิ้นเชิง "แม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์รวมทั้งมีการแสดงความห่วงใยจากประชาคมโลกมากขึ้นๆ แต่รัฐบาลประยุทธ์และผู้มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายก็ไม่สนใจ ยังคงเดินหน้าฝ่าฝืนหลักนิติธรรมและข้อตกลงระหว่างประเทศต่อไป" นายจาตุรนต์ กล่าว นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ในขณะที่การรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 แผนการฉีดวัคซีน และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ยังเป็นไปแบบสะเปะสะปะไร้ทิศทาง การใช้วัคซีนเป็นไปอย่างล่าช้าไม่ครอบคลุมและผูกขาด ทำให้ประเทศไทยตกขบวนในการเปิดประเทศ ส่วนการจัดทำงบประมาณปีหน้าก็กลับใช้นโยบายการคลังแบบหดตัว สวนทางกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก มาตรการต่างๆ ของรัฐบาลก็เน้นแต่การเพิ่มการบริโภคที่ทำได้จำกัด รัฐบาลนี้จึงกำลังทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยและเสียโอกาสอย่างมหาศาล หากรัฐบาลยังดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดต่อไป ความไม่พอใจต่อรัฐบาลก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการที่ผู้นำรัฐบาลได้แสดงตัวชัดเจนในการขัดขวางการร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ เคยแถลงนโยบายไว้ ก็ยิ่งทำให้สังคมไม่มีทางออกและความขัดแย้งทางการเมืองจะมีมากขึ้น "สถานการณ์ที่สะสมความไม่พอใจต่อรัฐบาลและผู้มีอำนาจมากขึ้นๆ เช่นนี้ จำเป็นที่รัฐบาลต้องฟังผู้เห็นต่างให้มากๆ แต่รัฐบาลกลับทำในทางตรงข้าม คือ ปราบกวาดล้างผู้เห็นต่างอย่างบ้าระห่ำ รัฐบาลจึงกำลังนำพาสังคมไทยไปสู่หายนะที่ยากต่อการกอบกู้มากขึ้นทุกที" นายจาตุรต์ กล่าว