เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือศบศ.ครั้งที่ 1/2564 โดยนายกฯ กล่าวในช่วงต้นของการประชุม ศบศ.ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทักทายผู้เข้าร่วมประชุมว่า ที่มาร่วมประชุมล้วนเป็นหลักในการบริหารช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จึงขอให้ร่วมกันรับฟังข้อเสนอว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะการทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันต้องมีความปลอดภัยจากสถานการณ์โควิด-19 ด้วย หลายอย่างต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นเวลา 10.50 น. ระหว่างการประชุมศบศ.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกจากห้องประชุม โดยได้ให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นประธานการประชุมแทน
โดยทันทีที่นายกฯ เดินออกมาจากตึกภักดีบดินทร์ และเห็นโพเดียมที่เตรียมไว้ นายกฯ ก็ให้สัมภาษณ์ทันที ทั้งที่สื่อมวลชนยังไม่ได้มารอ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เราต้องดูทั้งเรื่องของปัญหาสุขภาพ และเรื่องของเศรษฐกิจไปพร้อมๆกัน ทั้งสองอย่างต้องเดินหน้าไปด้วยกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของวัคซีนได้รับรายงานว่า วันนี้มีการนำวัคซีนเข้ามาอีกยี่ห้อหนึ่งคือ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ซึ่งฉีดเพียงเข็มเดียว ถือเป็นสินค้าในภาวะฉุกเฉินก่อน
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้ไปจำกัดใคร วันนี้ได้เน้นย้ำในเรื่องของการฉีดวัคซีนให้เป็นไปตามแผนที่เรามีวัคซีนเข้ามาในประเทศทั้ง 3 ยี่ห้อ ประกอบด้วย แอสตราเซเนกา ซิโนแวค และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ก็จะทยอยดำเนินการฉีด อย่าลืมว่าทั้งหมดเราจะมีวัคซีนเพียงแค่ 2 ล้านโดส ซึ่งก็เหมือนกับประเทศอื่นที่จะทยอยเข้ามา การแข่งขันทางการค้าค่อนข้างสูง แต่หลังจากเดือนเม.ย.จะเข้ามาอีกมากพอสมควร ประมาณเดือนละ 10 ล้านโดส ดังนั้นเราต้องเร่งรัดในเรื่องการฉีดวัคซีน ซึ่งจะต้องมีการกำหนดว่าจะฉีดที่ไหนอย่างไร และกลุ่มใดบ้าง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข ท้องถิ่น สาธารณสุขจังหวัด และจังหวัด ที่สำคัญต้องหาข้อมูลว่าประชาชนยินดีจะฉีดหรือไม่ หลายคนไม่อยากฉีด ไม่กล้าฉีด แต่ถ้าเรานับจำนวนฉีดวัคซีน ก็สามารถฉีดได้สอดคล้องกับวัคซีนที่มีอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่ง คือวันนี้เรามีมาตรการช่วยเหลือประชาชนไปมากพอสมควรหลายอย่าง
"แต่ก็ไม่ใช่เป็นการไปแจกเงิน แต่เป็นการทำให้ทุกคนสามารถดำรงชีพอยู่ได้ สนับสนุนห่วงโซ่ เรื่องการใช้จ่ายในสังคม ซึ่งตามไปถึงผู้ผลิต นำสู่ถึงวัตถุดิบ ถ้าคนไม่มีกำลังซื้อก็ต้องทำแบบนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องเสริมธุรกิจใหม่ของเรา ในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอยู่แบบนี้ ทุกคนต้องช่วยกัน ในเรื่องของการลงทุนใหม่ ลงทุนภายในประเทศ การออมเงินของเรามีเพิ่มขึ้นหลายแสนล้าน ไม่ใช่ไม่มีสตางค์ แต่ต้องช่วยเอามาใช้จ่าย ช่วยกันลงทุนบ้าง รัฐบาลเองก็มีเงินจำกัดอยู่แค่นี้ คืองบประมาณแผ่นดินและเงินในส่วนของรัฐวิสาหกิจ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า เราก็ต้องเร่งลงทุน ถึงคาดการณ์ว่า ถ้าเราช่วยกันแบบนี้ทุกภาคส่วน หอการค้า ภาคอุตสาหกรรม รัฐบาล ธุรกิจเอกชน ร่วมมือกันในทุกมิติ เราน่าจะดันจีดีพีของประเทศให้ขึ้นถึงร้อนละ 4 ได้ในปีนี้และปีหน้า เราตั้งเป้าหมายไว้ เราต้องทำลายอุปสรรคตรงนี้ให้ได้ ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ผมไม่อาจสามารถทำให้ทุกคนเข้าใจได้ทั้งหมด แต่อยากให้ทุกคนพยายาม ทำความเข้าใจกับตนหน่อย ว่าพยายามทำอย่างเต็มที่ ในการใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง ไม่มีเงินให้ ก็ไม่ชอบ พอให้ก็บอกว่าแจกเงิน แล้วมันจะไปทางไหนฝ
“ดังนั้นเวลาจะเสนอแนวทางอะไรก็ขอเสนอวิธีการที่เหมาะสม วันนี้ในส่วนนี้เราก็ต้องใช้จ่ายไป เพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ภาคการผลิตก็สามารถดำเนินการได้ ไม่เช่นนั้นก็จะตกงานกันหมด ทั้งหมดคือวัตถุประสงค์ตรงนี้ ไม่ได้ให้ใครมารักผม เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำแบบนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องหาเงินให้ได้มากยิ่งขึ้น ว่าจะทำอย่างไรถ้าเราไม่สร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน มันก็ไปไม่ได้ทั้งหมดนั่นแหละประเทศไทย มันไปไม่ได้ ทั้งที่เรามีศักยภาพเยอะพอสมควร คนไทยไม่ใช่ไม่เก่ง เพียงแต่สิ่งที่เรารับรู้รับทราบในวันนี้ เป็นเรื่องของความอุปสรรค ขัดแย้ง จนทุกอย่างไปไม่ได้หมด ผมไม่ได้โทษใคร กรุณาเข้าใจด้วย ผมไม่ได้โทษประชาชน และผมไม่อยากจะโทษใครทั้งสิ้น แค่นี้นะขอบคุณ
"พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอย่างมีอารมณ์ฉุนเฉียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้น นายกฯ ได้เดินกลับขึ้นไปยังห้องทำงาน บนตึกไทยคู่ฟ้า เป็นเวลาประมาณ 5 นาที ก่อนที่จะเดินกลับเข้ามา ร่วมประชุม ศบศ. ต่อ
รายงานข่าวจากที่ประชุมแจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีอารมณ์หงุดหงิดตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 มี.ค.โดยเฉพาะเรื่องแผนการฉีดวัคซีน ที่ยังมีการทวงถามและความไม่ชัดเจน ในส่วนของภาคเอกชน รวมทั้งมาตรการการช่วยเหลือประชาชน ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยแบ่งปัน โดยแบ่งความเห็นออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในโครงการให้เงินช่วยเหลือประชาชน