“อนุทิน”ย้ำรมต.สลับกระทรวงของ”คมนาคม-พาณิชย์”ไม่มีอะไรซับซ้อน เน้นทำงานคล่องตัว ชี้รมต.คนละกระทรวงอาจเกรงใจกัน
วันที่ 26 มี.ค.64 เมื่อเวลา 09.20 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปรับครม.ที่ผ่านมา ที่มีการแลกกระทรวงกันของรัฐมนตรีช่วยของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ในส่วนของกระทรวงคมนาคมและพาณิชย์ ที่มองกันว่าอาจทำให้ไม่มีการคานอำนาจกันว่า ถ้ามองอย่างนั้น แล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยใครจะมาคาน มันไม่เกี่ยวกันเลย รัฐมนตรีทุกคนโดยพื้นฐาน โดยหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การคานอำนาจคือสภาผู้แทนราษฎรที่คานอำนาจ ทำไม่ดีก็โดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ก็เห็นแล้วว่าไม่ใช่พวกมากจะลากไปได้ เห็นกันอยู่แล้วว่าผลโหวตออกมาเป็นอย่างไร ไม่เท่ากันสักคน
“หน้าที่ของรัฐมนตรีคือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มันคานอำนาจกันเองในกระทรวงไม่ได้ รัฐมนตรีช่วยคนไหนกล้าคานรัฐมนตรีว่าการ เป็นไปได้หรือเปล่าล่ะ อำนาจทั้งหมดอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการ ดังนั้นมันไม่มี รัฐมนตรีช่วยต้องทำงานตามที่รัฐมนตรีว่าการมอบหมาย ดังนั้นการที่พรรคเดียวกัน กลุ่มเดียวกัน เป็นหัวหน้าเป็นลูกน้องกัน การทำงานก็มีประสิทธิภาพได้ ทำให้กระชับยิ่งขึ้น มองในแง่ที่ว่าทำให้งานรวดเร็วยิ่งขึ้นบ้างซิ อย่าไปมองแค่ว่าจะมาทำอะไรกัน”
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าที่ผ่านมารัฐมนตรีคนละพรรคอยู่กระทรวงเดียวกันทำงานไม่เข้าขากันหรือ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกกระทรวงมีรัฐมนตรีว่าการเป็นเจ้ากระทรวงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรอก ดีหรือไม่ดีอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการ
เมื่อถามว่าการสลับกระทรวงกันครั้งนี้ไม่มีเหตุผลทางการเมืองใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เหตุผลทางการเมืองก็คือการทำให้การทำงานคล่องตัวขึ้นไม่ดีกว่าหรือ
“สมมติผมเป็นรัฐมนตรีว่าการและมีรัฐมนตรีช่วยต่างพรรค ก็อาจจะมีความรู้สึกบ้างได้ว่า แหม เกรงใจเขา เกรงอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วอยู่ดีๆก็มีคนมาออฟเฟอร์ว่า เอามั๊ย สลับกันมั๊ย จะได้ทำงานได้เต็มที่ คล่องตัวขึ้น ผมก็เอา
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งไม่มีอะไรที่สลับซับซ้อนเลย อำนาจในความรับผิดชอบของกระทรวงแต่ละกระทรวงอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการเท่านั้น รัฐมนตรีช่วยเซ็นอะไรไป รัฐมนตรีว่าการก็ยังต้องรับผิดชอบ”