คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ถึงแม้ว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” จะได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผลงานชิ้นโบแดงชิ้นแรกเกี่ยวกับงบประมาณ 1.9 ล้านล้านเหรียญที่แจกจ่ายเยียวยาให้แก่คนอเมริกันจากผลกระทบของโควิด- 19 ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีไบเดนยังเล็งเห็นว่า นั่นเป็นแค่เพียงการแก้ปัญหาฉุกเฉินล่วงหน้าในระยะสั้นๆ เพื่อเข้าไปช่วยเหลือคนระดับล่างและธุรกิจขนาดย่อม ส่วนโครงการระยะยาวนั้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีความหวังและตั้งใจที่จะทุ่มเงินงบประมาณก้อนมหึมา 3 ล้านล้านเหรียญ เพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว หวังให้กลับมาเป็นประเทศพี่เบิ้มมหาอำนาจสามารถแข่งขันกับประเทศที่พัฒนาแล้วได้ดั้งเดิม!!! สำหรับโครงการอภิมหามหึมาที่เขาหวังตั้งใจเอาไว้นั้น มีผลทำให้นักการเมืองของพรรครีพับลิกันต่างรู้สึกร้อนตัวกระวนกระวายใจไม่รู้ว่าจะหาทางสกัดกั้นล้มเลิกโครงการระยะยาวของประธานาธิบดีไบเดนได้อย่างไร เพราะหากไม่สามารถเบรกโครงการนี้ลงได้ ก็ย่อมจะทำให้การเลือกตั้งกลางสมัยที่จะมีขึ้นในอีก 20 เดือนข้างหน้าเสียงข้างมากก็คงจะตกอยู่ในเงื้อมมือของพรรคเดโมแครตต่อไป อย่างไรก็ตามการที่ประธานาธิบดีไบเดน ต้องการที่จะทุ่มเงินงบประมาณมากถึง 3 ล้านล้านเหรียญระลอกใหม่นี้ เนื่องจากเขาต้องการที่จะแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือโครงการสร้างพื้นฐานที่มิได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเลยตั้งแต่เมื่อหกสิบปีก่อนในสมัยของ “ประธานาธิบดี ดไวท์ ไฮเซนฮาวร์” สำหรับโครงการสร้างพื้นฐานนี้ประธานาธิบดีไบเดนหวังจะลงทุนหนึ่งล้านล้านเหรียญในด้านการก่อสร้างและซ่อมแซมถนนรวมทั้งสะพานทั่วประเทศ สร้างท่าเรือ สร้างสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ปรับปรุงระบบน้ำ และระบบกำจัดสิ่งปฏิกูล และเหนือสิ่งอื่นใดการแก้ปัญหาโลกร้อนก็ไม่อาจมองข้ามได้ และอาจจะต้องใช้งบประมาณมากถึง 400 พันล้านเหรียญ!!! ส่วนประเภทที่สองนั้นประธานาธิบดีไบเดนหวังจะเร่งรุดในการปฏิรูประบบการศึกษาในระดับวิทยาลัยชุมชน ซึ่งมีหลักสูตรสองปีที่นักศึกษาไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน รวมถึงปฏิรูปโครงการเด็กๆในระดับเตรียมอนุบาล ที่เขาตั้งใจว่าจะเปิดโอกาสให้คนผิวสีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนระดับมหาวิทยาลัย เรื่อยไปจนถึงโครงการสวัสดิการสุขภาพ และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว และเนื่องจากเป็นงบประมาณก้อนมหึมาประธานาธิบดีโจ ไบเดน จึงหวังใจที่จะได้รับความร่วมมือจากค่ายพรรครีพับลิกัน แต่ก็เป็นไปค่อนข้างยาก เพราะที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้จะเห็นได้ว่ากว่าจะผ่านงบ 1.9 ล้านล้านเหรียญได้นั้น หืดแทบขึ้นคอเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรครีพับลิกันเลยแม้แต่เสียงเดียว!!! และหากจะวิเคราะห์ย้อนหลังไปเมื่อปี 2017 ในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ครั้งนั้นต้องการที่จะปฏิรูปโครงการภาษี โดยเขาได้เอื้ออำนวยผลประโยชน์ให้กับวงการธุรกิจยักษ์ใหญ่ และ กลุ่มมหาเศรษฐีอย่างมหาศาลโดยประธานาธิบดีทรัมป์ก็มิได้สนใจไยดีที่จะขอความร่วมมือจากค่ายพรรคเดโมแครตแต่อย่างใด เพราะครั้งนั้นพรรครีพับลิกันคุมเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและในสภาผู้แทนราษฎร และผลที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2017 นั้น ปรากฏว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งหน้าตั้งตาเดินเกมฉายเดี่ยวอาศัยว่าพรรคของตนคุมเสียงข้างมากในสภาคองเกรส โดยเขาได้สั่งให้มีการลดหย่อนภาษีถึง 5.5 ล้านล้านเหรียญ โดยธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายพากันยินดีตีปีกเพราะเสียภาษีรายได้ลดลงเหลือแค่เพียง 21% จากที่เคยเสียมากถึง 35% ทั้งนี้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ๆที่ได้รับผลประโยชน์ทางด้านการลดหย่อนภาษีลงอย่างมากมายมหาศาลได้แก่ Google, Apple, Cisco, Pfizer, Merck, Coca-Cola, Facebook เป็นต้น ทำนองเดียวกันการจัดสรรงบประมาณในครั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดโดยไม่ไยดีกับพรรครีพับลิกันเช่นกัน ที่ได้ผ่านงบ 1.9 ล้านล้านเหรียญเมื่อเร็วๆนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าขณะนี้พรรคเดโมแครตกำลังคุมเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร โดยจะถือว่าเป็นการเรียกเอาคืนบ้างเพื่อคนระดับล่างของสังคมก็คงไม่ผิดเท่าใดนัก!!! สำหรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน วางแผนหวังจะสร้างงานใหม่สำหรับคนว่างงานห้าล้านคนนั้น เขายังต้องการที่จะรักษางานที่คนอเมริกันต้องสูญเสียไปในช่วงโควิดให้กลับคืนมาดั้งเดิม ทั้งนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ยังต้องการที่จะรักษาคำมั่นสัญญาที่เคยให้เอาไว้เมื่อครั้งหาเสียงว่า จะไม่ขึ้นภาษีต่อผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 400,000 เหรียญต่อปี โดยยึดในอัตราเดิมที่ 39.6% ส่วนผู้ที่มีรายได้สูงกว่าสี่แสนเหรียญต่อปีจะต้องเพิ่มอัตราการเสียภาษีที่สูงมากขึ้น อนึ่งข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับ ประธานาธิบดีไบเดน นั้นอยู่ที่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์คอยให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลแต่เพียงธุรกิจยักษ์ใหญ่และกลุ่มคนร่ำรวย ตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีไบเดน ที่เขามุ่งคอยให้ความช่วยเหลือคนในระดับล่างและธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งเขาอาจจะต้องการเป็นขวัญใจของคนระดับล่างก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีไบเดน จากผลการหยั่งเสียงของ Pew Research Center ได้ออกมาเปิดเผยครั้งล่าสุดนี้ว่า ประธานาธิบดีไบเดนได้รับความชื่นชมอยู่ที่ 70% โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับความนิยมจากสมาชิกพรรคเดโมแครตที่ 94% และจากสมาชิกพรรครีพับลิกันระดับล่างถึง 63% และเมื่อดูแนวโน้มของการเลือกตั้งกลางสมัยที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2022 พรรคเดโมแครตมีโอกาสที่สามารถจะเข้าไปคุมเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรได้อีกครั้งคราหนึ่ง เพราะว่าบรรดาฐานเสียงของพรรครีพับลิกันในระดับล่างต่างไม่พอใจที่พรรครีพับลิกันทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนฯไม่ยอมสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีไบเดน ที่จะให้เงินช่วยเหลือเยียวยาคนอเมริกันที่มีรายได้ต่ำกว่า 75,000 เหรียญต่อปี โดยแจกจ่ายผู้ที่เป็นโสดคนละ 1,400 เหรียญ และคู่สามีภรรยาที่มีรายได้ไม่เกิน 150,000 เหรียญต่อปีก็จะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,800 เหรียญ สำหรับการแก้ปัญหาโลกร้อนนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็มีความมุ่งมั่นต้องการที่จะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจรังที่ยังไม่เคยมีอดีตประธานาธิบดีคนใดดำเนินการมาก่อนเลย โดยประธานาธิบดีไบเดนได้ผนึกทีมคณะรัฐมนตรีที่มีประสบการณ์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ด้านสิ่งแวดล้อม ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่ง รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรกรรม และด้านอุตสาหกรรม นอกจากนั้นแล้วเขาจะพยายามผลักดันให้ประเทศต่างๆร่วมมือแก้ไขปัญหาโลกร้อนโดยแต่งตั้ง “อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศจอห์น แคร์รี่”เข้ารับตำแหน่งทูตพิเศษ ซึ่งตำแหน่งนี้เทียบเท่ารัฐมนตรีเลยทีเดียว เพื่อให้เข้ามาหาทางร่วมมือกับประเทศต่างๆทั่วโลก สำหรับด้านต่างประเทศประธานาธิบดีโจ ไบดน ก็มีความมุ่งมั่นต้องการที่จะกระชับสัมพันธไมตรีกับมิตรประเทศที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยทำลายมิตรภาพสร้างความหมางเมินเสื่อมคลาย กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นจะเห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดเลยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีโครงการทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเขาหวังใจต้องการที่จะฟื้นฟูให้สหรัฐฯกลับมามีความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่เหมือนดั้งเดิม และยังจัดเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายที่ทั้งรัสเซีย และ จีน ต้องการจะเข้ามาลองเชิงท้าทายอีกด้วยละครับ