วันที่ 25 มี.ค.64 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ก้าวไกล ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง "พรรคก้าวไกลยืนยัน การแก้ ม.112 ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย เพื่อปกป้องเสรีภาพประชาชน-คุ้มครองประมุขให้ได้สัดส่วน ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ” ระบุว่า หลังจากที่พรรคก้าวไกลได้เสนอชุดร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน 5 ฉบับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ทางกลุ่มงานพระราชบัญญัติและญัตติ 1 สำนักการประชุม สภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือบันทึกข้อความมายังพรรคก้าวไกลว่า การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อให้มีการยกเว้นความผิดและการยกเว้นโทษต่อความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์นั้น “เป็นการขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญมาตรา 6” ซึ่งบัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” วันนี้ (25 มีนาคม 2564) พรรคก้าวไกลได้ทำหนังสือตอบกลับความเห็นดังกล่าวเพื่อชี้แจงว่า การแก้ไขมาตรา 112 โดยบัญญัติให้มีการยกเว้นความผิดและการยกเว้นโทษว่า “ผู้ใดติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้นั้นไม่มีความผิด” และ “ความผิดฐานในลักษณะนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นความผิดนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามมิให้พิสูจน์ถ้าข้อที่กล่าวหาว่าเป็นความผิดนั้นเป็นเรื่องความเป็นอยู่ส่วนพระองค์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัว แล้วแต่กรณี และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน” นั้น ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติในมาตรา 6 แต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพราะบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ” นั้น มีความมุ่งหมายเพียงเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติให้แก่องค์พระมหากษัตริย์ ส่วน “ผู้ใดจะละเมิดมิได้” นั้น มิได้หมายถึงการห้ามแสดงความคิดเห็นต่อองค์พระมหากษัตริย์ แต่หมายความว่า พระมหากษัตริย์ไม่อาจถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องได้ ดังที่ได้ขยายความให้ชัดเจนไว้ในบทบัญญัติมาตราเดียวกันว่า “ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”  ฉะนั้น ความเห็นของกลุ่มงานพระราชบัญญัติและญัตติ 1 จึงเป็นการตีความเกินตัวบทและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญและกฎหมายของไทย รวมทั้งไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะขององค์พระมหากษัตริย์ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องตีความภายใต้กรอบและหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการถวายพระเกียรติในฐานะที่เป็นประมุขของรัฐในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งพระองค์ทรงเป็นกลางทางการเมือง ไม่ทรงกระทำการใดในทางการเมืองและในการปกครองด้วยพระองค์เอง ตามหลัก “พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดไม่ได้” (The King Can Do No Wrong) ซึ่งจะทำให้องค์พระมหากษัตริย์ปลอดพ้นจากการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน  ในแง่พัฒนาการทางกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีต้นแบบมาจากกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 98 ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ทั้งนี้ บทบัญญัติตามมาตรา 98 ร่างขึ้นมาโดยอิงจากกฎหมายของอังกฤษ ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายลักษณะนี้ของอังกฤษและประเทศอื่นที่มีระบบกษัตริย์ได้ลดน้อยลงตามพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย จนปัจจุบันไม่มีการบังคับใช้แล้วในหลายประเทศ เพราะรัฐในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ต้องมุ่งประกันเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน แม้ว่าในรัฐธรรมนูญของหลายประเทศยังมีบทบัญญัติในลักษณะเดียวกับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญไทยอยู่ก็ตาม ดังนั้น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งสืบทอดมาจากกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 98 ตั้งแต่ก่อนที่สยามจะมีรัฐธรรมนูญ จึงไม่ได้บัญญัติขึ้นมาเพื่อทำให้บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ มีสภาพบังคับแต่อย่างใด การตีความประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามความเห็นของกลุ่มงานพระราชบัญญัติและญัตติ 1 ให้เชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 จะยิ่งส่งผลให้การบังคับใช้มาตรา 112 มีลักษณะคลุมเครือและขยายความกว้างขวางเกินกรอบของฐานความผิดในกฎหมายอาญาตามปกติ นําไปสู่ความไม่แน่นอนของฐานความผิดนี้ในกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ หากพิจารณาจากประวัติศาสตร์ทางกฎหมายของไทย ประมวลกฎหมายอาญาในปัจจุบันนั้น สืบทอดและปรับปรุงมาจากกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซึ่งตราขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์  อย่างไรก็ดี หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยแล้ว กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ยังคงบังคับใช้อยู่ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย  ประเด็นหนึ่งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ใน พ.ศ. 2478 ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย คือ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 104 ให้มีบทบัญญัติยกเว้นความผิดแม้จะเป็นฐานความผิดเกี่ยวกับการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ หากเป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าว เกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 อันมีบทบัญญัติตามมาตรา 3 ความว่า “องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” แล้ว  เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาจากทั้งบทบัญญัติ เจตนารมณ์ และประวัติศาสตร์ของกฎหมายและรัฐธรรมนูญไทยแล้ว พรรคก้าวไกลจึงเห็นว่า การแก้ไขมาตรา 112 ให้มีบทบัญญัติยกเว้นความผิดและยกเว้นโทษ ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6  การตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเพื่อรักษาพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ จะต้องสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ได้สัดส่วนระหว่างการคุ้มครองประมุขของรัฐกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน"