เมื่อวันที่ 22 มี.ค.64 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนคำร้อง คดีดำหมายเลขที่ อ.287/64 ครั้งที่ 2 กรณีนายอานนท์ นำภา แกนนำราษฎร ที่เขียนจดหมายคำร้องเล่าเหตุการณ์เกรงจะได้รับอันตรายถูกทำร้ายในเรือนจำ โดยวันนี้ ศาลได้เบิดตัวนายอานนท์ ,นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ,นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อมาเป็นพยานเบิกความ ทั้งนี้นายภาณุพงศ์ เบิกความในฐานะพยาน สรุปได้ว่า วันที่15 มี.ค. ที่เกิดเหตุนั้น เมื่อตนกับพวกนั่งรถตู้ของกรมราชทัณฑ์มาถึงเรือนจำ ได้ผ่านการล้างมือตรวจคัดกรอง และผ่านการค้นตัวเปลี่ยนชุด และนำตัวไปยังแดน 2 ห้องคุมขังหมายเลข 7 ซึ่งไปถึงเป็นเวลาช่วงหัวค่ำแล้วตนและพวก จึงได้ปูที่นอนกระทั่งดูโทรทัศน์ จนถึงเวลา 21.30 น. เมื่อทางราชทัณฑ์มีการปิดทีวีแล้ว อีกประมาณ5 นาทีก็ปรากฏมีเจ้าหน้าที่หลายคนมายังห้องควบคุมเพื่อต้องการแยกพวก3 คนไปยังสถานพยาบาล ได้แก่ตนเอง นายปิยรัฐ หรือ โตโต้ นายจตุภัทร์ หรือไผ่ พวกตนได้ปฎิเสธเนื่องจากเห็นว่าเป็นเวลาดึกแล้วและต้องการพักผ่อน ขอเลื่อนไปตรวจพรุ่งนี้แทนเจ้าหน้าที่ก็กลับไป จากนั้นเวลาประมาณ 23.00 น มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่พยาบาล มาขอตรวจโดยการใช้สำลีป้ายจมูกเพื่อนำสารคัดหลั่งไปตรวจโควิด แต่พวกตนปฏิเสธ เนื่องจากตนกลัวว่าจะมีป้ายยาอย่างอื่นหรือ วางยาและตนได้ผ่านการตรวจคัดกรองมาแล้วเบื้องต้น เจ้าหน้าที่จึงกลับออกไป ต่อมาเวลาประมาณ 00.15 น. ของวันที่ 16 มี.ค. มีเจ้าหน้าที่ของราชทัณฑ์จำนวนมาก และเจ้าหน้าที่พยาบาลมาขอตรวจ โควิคโดยครั้งนี้จะตรวจทุกคนทั้งหมดในห้องขังหมายเลข7 ที่มีประมาณ 20 คน ซึ่งทุกคนยินยอมตรวจหมด ยกเว้นพวกตน 7 คนได้แก่ตนเอง นายอานนท์ นำภา ,นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิ้น,นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้, นายปฏิวัติ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ ,นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข จากนั้นเป็นเวลาประมาณ 02.00 น. มีผู้คุมใส่ชุดกากี และชุดดำมากกว่า 15 นาย รอบนี้ไม่มีหน้าที่พยาบาลมาด้วย แจ้งว่าจะขอย้ายพวกตนทั้ง 7 คนไปยังเรือนพยาบาลจากที่เคยแจ้งว่าจะขอย้ายเพียง 3 คนในครั้งแรก พวกตนจึงเกิดความรู้สึกกังวลและกลัว เนื่องจากเคยฟังข่าวว่ามีการแยกผู้ต้องขังไปทำร้ายในเวลากลางคืน อย่างเช่น สุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง และพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ซึ่งทั้งสองคนเสียชีวิตภายในเรือนจำ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้แยกผู้ต้องขังคนอื่นในห้องที่มีการตรวจสารคัดหลั่งแล้วไปยังห้องควบคุมที่ 10 ทั้งที่ผู้ต้องขังห้องที่10 ยังไม่ผ่านการตรวจโควิดแต่อย่างใด หากจะคัดแยกการตรวจคัดกรองโรคจริงไม่น่าจะกระทำเช่นนั้น ในห้องขังเหลือเพียงพวกตน7คนเท่านั้น ทุกคนรู้สึกกลัวมาก นายปิยรัฐเลยอาสาเฝ้าเวรจนถึงเช้า จากนั้นพอเวลาเช้าแล้ว ก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งไปตรวจโควิดแต่อย่างใด พวกตนทั้ง 7 ยังคงถูกคุมขังอยู่ที่ห้องเดิม ด้าน นายจตุภัทร์หรือไผ่ เบิกความแถลงต่อศาลช่วงต้นลักษณะคล้ายคลึงกันกับนายภาณุพงศ์ แต่มีใจความเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณี ตอน 02.00 น. ของวันที่ 16 มี.ค. มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ประมาณ 20 คน ทั้งใส่ชุดสีกากี และใส่ชุดดำไม่ติดป้ายชื่อ มาพร้อมกล้องวีดีโอ 2 ตัว และกล้องถ่ายภาพนิ่ง 1 ตัว โดยมาขอย้ายทั้ง 7 คนไปเรือนพยาบาล ซึ่งขณะนั้นตนเห็นว่าผิดปกติจึงได้นำสมุดมาจดรายละเอียดตามช่วงเวลา และขอถามชื่อผู้คุมที่ไม่ติดป้าย แต่เขาไม่บอก คราวนี้ไม่มีพยาบาลติดตามมาเหมือนครั้งก่อนๆด้วยพวกตนจึงปฏิเสธ และรู้สึกผิดวิสัย เนื่องจากใน 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีการพยายามนำพวกตนออกจากห้องคุมขังหลายครั้ง เมื่อถามว่าทำไมถึงย้ายในเวลานี้ก็ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งตนเกิดความกลัวเนื่องจากมีเพื่อนผู้ต้องขังเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ต้องขังถูกนำออกไปจากห้องในวิกาลเช่นนี้เพื่อไปทำร้าย บางคนได้รับบาดเจ็บกลับเข้ามา บางคนก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย โดยจำเลยทั้ง2 ยังได้ยืนยันกับศาลว่าในตอนช่วงเช้าวันต่อมา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ไม่ได้นำตัวจำเลยทั้งหมดไปตรวจโควิดตามที่ได้เเจ้งกับจำเลยไว้เมื่อคืนตอนเกิดเหตุ จากนั้นศาลได้ประกาศพักเที่ยง และจะไต่สวนในช่วงบ่ายต่อ