เมื่อวันที่19 มี.ค.64 ที่กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป., พ.ต.ท.สมบัติ มีมงคล, พ.ต.อ.ปิยพล แป้นแก้ว, พ.ต.ท.ศิลป์ชัย ถวัลย์ภิญโย, พ.ต.ท.กันตเมศฐ์ อัครโชควรานนท์ รอง ผกก.6 บก.ป. ,พ.ต.ท.วริศร มัจฉา สว.กก.6 บก.ป., ร.ต.อ.แดนรบ สมัยชูเกียรติ, ร.ต.อ.ศักดิ์สิทธิ์ นิลมิตร, ร.ต.อ.อนุวัฒน์ ณ ปัตตานี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.6 บก.ป. ชุดปฏิบัติการจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกันจับกุมตัวนายดนุเดช หรือโต (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนและผู้อื่น และมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า,ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต”โดยจับกุมตัวได้ภายในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง ใน ต.ปากพะยูน อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง สืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.6 บก.ป. ได้รับแจ้งจาก ส.ต.ต.พีระชาติฯ (ผู้เสียหาย) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยดำเนินการสืบสวนหาตัวคนร้ายที่แฮ็กข้อมูลเฟซบุ๊กของตนไปโพสต์หลอกขายสินค้าตามกลุ่มต่างๆ และให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีของคนร้าย ซึ่งมีเหยื่อหลงเชื่อจำนวนหลายสิบราย มูลค่าความเสียหายนับล้านบาท ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า คนร้ายที่แฮ็กบัญชีเฟซบุ๊กของ ส.ต.ต.พีระชาติฯ คือ นายดนุเดช หรือโต (ผู้ต้องหา) ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ต้องหาเคยมีพฤติกรรมหลอกลวงประชาชนในลักษณะเดียวกัน และเคยถูกจับกุมดำเนินคดีมาแล้วหลายครั้ง หลังจากพ้นโทษออกมา ผู้ต้องหายังก่อเหตุซ้ำต่อเนื่อง กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมสืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องหาได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ ต.ปากพะยูน อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง จึงเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อพบรถจักรยานยนต์ของ ผู้ต้องหาจอดอยู่บริเวณหน้าห้องพักแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เรียกให้ผู้ต้องหาซึ่งอยู่ภายในห้องเปิดประตู โดยจากการตรวจค้นห้องพักที่ผู้ต้องหาซุกซ่อนตัว พบว่ามีของกลาง ยาบ้าจำนวน 102 เม็ด, ยาไอซ์ จำนวน 1 ถุง พร้อมอุปกรณ์การเสพ รวมถึงของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจยึดโทรศัพท์มือถือที่ผู้ต้องหาใช้ในการก่อเหตุแฮกข้อมูลของผู้เสียหายได้อีกด้วย จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า เมื่อปี พ.ศ.2561 ผู้ต้องหามีหมายจับของศาลแขวงนนทบุรี ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์” และยังไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงทำการจับกุมและนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากพะยูน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า ผู้ต้องหาจะอาศัยการสุ่มรหัสอีเมล์จากเบอร์โทรศัพท์ที่เจ้าของเฟซบุ๊กโพสต์ขายสินค้าจากนั้นจะนำอีเมล์ของเจ้าของเฟซบุ๊กไปเข้าระบบ แล้วกดลืมรหัสผ่าน ก่อนจะกดยืนยันตัวตนอีกครั้ง เมื่อแฮ็กเฟซบุ๊กได้ ผู้ต้องหาจะนำเฟซบุ๊กดังกล่าวไปหลอกเหยื่อให้โอนเงินค่าสินค้ามายังบัญชีของตน ก่อนจะบล็อกการติดต่อของเหยื่อ ซึ่งผู้ต้องหาได้กระทำการในลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง และนำเงินที่ได้มาไปเที่ยวเตร่ ซื้อยาเสพติดมาเสพ และเล่นพนันออนไลน์ โดยผู้ต้องหายอมรับว่า ตนหลอกลวงเหยื่อมาแล้วประมาณ 5-6 เดือน จนถึงปัจจุบัน มีเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินมาแล้วประมาณ 100 คน ได้เงินมาประมาณ 1 ล้านบาท กองบังคับการปราบปราม จึงขอฝากเตือนภัยประชาสัมพันธ์ ให้ท่านระมัดระวังการโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของตนเอง ลงในสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ เนื่องจากอาจถูกมิจฉาชีพ นำข้อมูลส่วนตัวของท่านไปใช้หาผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ท่านควรระมัดระวังพ่อค้าเเม่ค้าที่มาในคราบของมิจฉาชีพ