สำหรับกลุ่มดุสิตธานี ได้ประกาศเพิ่มเงินทุนในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ตามสัดส่วน จาก 12,915 ล้านบาท เป็น 17,250 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4,335 ล้านบาท หลังร่วมกับ CPN ตัดสินใจขยายขนาดโครงการจาก 36,700 ล้านบาท เป็น 46,000 ล้านบาท โดยได้เตรียมปรับแผนยกระดับโครงการ ให้เป็นจุดหมายปลายทางของกรุงเทพฯ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ สร้างบทเรียนและมาตรฐานใหม่ ดังนั้น นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC ได้สะท้อนแผนการดำเนินงาน ที่มุ่งเน้นลงรายละเอียด เพิ่มพื้นที่ใช้สอยในโครงการตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบาย แต่ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัว พัฒนาโครงสร้าง-พื้นที่โดยรอบ ทั้งนี้ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC กล่าวว่า หลังจากกลุ่มดุสิตธานี ได้ร่วมกับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมผสาน (Mixed-Use) ภายใต้ชื่อ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ล่าสุดกลุ่มดุสิตธานี และบมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ได้ตัดสินใจร่วมกันในการเพิ่มเงินลงทุนโครงการดังกล่าวเพิ่มอีก 9,300 ล้านบาท จากเดิม 36,700 ล้านบาท เพิ่มเป็น 46,000 ล้านบาท ขณะที่ กลุ่มดุสิตธานีจะเพิ่มเงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการนี้อีก 4,335 ล้านบาท จากเงินลงทุนเดิม 12,915 ล้านบาท เพิ่มเป็น 17,250 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯได้เตรียมเงินลงทุนจากส่วนของผู้ถือหุ้นและวงเงินจากสถาบันการเงินไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับเงินทุนที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ จะนำไปพัฒนาโครงสร้างและพื้นที่โดยรวมของโรงแรม อาคารที่พักอาศัย และโครงสร้างศูนย์การค้า ส่งผลให้พื้นที่ใช้งานโดยรวมเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 3 หรือคิดเป็นพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นกว่า 70,000 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทฯได้ทำการศึกษาอย่างรอบคอบและเชื่อมั่นว่าการเพื่มเงินลงทุนในครั้งนี้จะทำให้โครงการมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น ทั้งนี้จะมีการนำเสนอวาระดังกล่าวเพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยต้องได้รับความเห็นจากผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 75 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง เพิ่มทุนเพื่อดึงศักยภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม นางศุภจี กล่าวว่า การตัดสินใจเพิ่มเงินทุนโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มาจากสาเหตุหลัก 3 ประการ ประการแรก ต้องการดึงศักยภาพของสถานที่ตั้งโครงการให้ออกมาได้สูงสุด เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ในย่าน Super Core CBD ซึ่งเป็นจุดตัดของการจราจรทั้งลอยฟ้า บนดิน และใต้ดินที่เชื่อมโยงกรุงเทพมหานครทั้งย่านเก่าที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ย่านใหม่ที่มีความทันสมัย ย่านการค้าที่คึกคัก และย่านการเงินที่เข้มแข็งเข้าด้วยกัน รวมถึงอยู่ตรงข้ามกับสวนลุมพินี ซึ่งเป็นปอดของกรุงเทพฯ จึงทำให้สถานที่ตั้งโครงการมีความพิเศษ ซึ่งการเพิ่มเงินทุนจะทำให้สามารถลงรายละเอียดในแต่ละส่วนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการทำรูฟพาร์ค หรือ สวนสาธารณะลอยฟ้าขนาด 7 ไร่ ที่มีความสูงถึง 20 เมตรไล่ระดับ ตั้งแต่ดาดฟ้าชั้น 3 ถึงดาดฟ้าชั้น 7 ของอาคาร ในการสร้างพื้นที่สีเขียวที่มอบประโยชน์กลับคืนสู่ สังคม ชุมชน และสาธารณะ เพื่อเพิ่มคุณค่าของการใช้ชีวิตให้ตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตวิถีใหม่ และจับกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมและชัดเจนขึ้น ประการที่สอง กลุ่มดุสิตธานีต้องการสร้างจุดเด่นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่ให้สามารถสานต่อวิสัยทัศน์ในการเป็นสัญลักษณ์ของโรงแรมไทยที่ได้มาตรฐานระดับโลก ด้วยการออกแบบห้องพักขนาดใหญ่ให้มีความเป็นส่วนตัวสูงสุดสำหรับผู้เข้าพัก และทุกห้องสามารถรับวิวสวนลุมพินีได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังดึงเรื่องราวอันเป็นเอกลักษณ์แห่งความทรงจำของดุสิตธานีเดิม ไม่ว่าจะเป็นล็อบบี้ที่มีน้ำตกอยู่ในภายในเหมือนโอเอซิสของกรุงเทพฯ ห้องจัดเลี้ยงหรือห้องประชุมมีหลากหลายขนาดไว้รองรับความต้องการ ซึ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ ห้องนภาลัยบอลรูม ที่มีขนาดใหญ่และโดดเด่นด้วยทัศนียภาพของสวนลุมพินีแบบไร้การบดบัง อีกทั้งยังเชื่อมต่อเข้ากับสวนหย่อมของโรงแรมและน้ำตก ซึ่งจะทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการได้รับบรรยากาศของการจัดเลี้ยงหรือจัดประชุมสัมมนาที่มีความพิเศษจากการแวดล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวที่ปลอดโปร่ง พร้อมกันนี้ ทางกลุ่มดุสิตธานียังได้นำห้องอาหารเทียร่าที่เคยอยู่ชั้นบนสุด และยอดเสาสีทองที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงแรม กลับมาให้ลูกค้าได้สัมผัสในรูปแบบ รูฟท็อบบาร์ ใหม่อีกครั้ง ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้ จะทำให้โครงการได้รับรายได้จากการดำเนินธุรกิจโรงแรมมากขึ้นอีกด้วย ประการสุดท้าย คือ ความคาดหวังรายได้ที่สูงขึ้นจากการปรับโครงการที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมือง เป็นสองแบรนด์ คือ ในระดับลักชัวรีสำหรับแบรนด์ดุสิต เรสซิเดนเซส และระดับไฮเอนด์สำหรับแบรนด์ดุสิต พาร์คไซด์ โดยทุกยูนิตจะถูกออกแบบให้มีความโล่ง โปร่ง สบาย มองเห็นวิวสวนลุมพินีจากทุกมุม เน้นฟังก์ชั่นการใช้สอย มีสิ่งอำนวยความสะดวก และให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดในทุกยูนิตด้วยไพรเวทลิฟต์ล็อบบี้สำหรับแบรนด์ดุสิต เรสซิเดนเซส และระเบียงเดี่ยวสำหรับแบรนด์ดุสิต พาร์คไซด์ นอกจากนี้ พื้นที่ส่วนกลางยังได้รับการออกแบบให้แยกสัดส่วนตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบมาตรฐานใหม่ เปิดโอกาสให้กับผู้พักอาศัยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในพื้นที่ส่วนตัวของโครงการ หรือจะใกล้ชิดกับธรรมชาติผ่านสวนสาธารณะลอยฟ้าขนาด 7 ไร่ รวมถึงการเพิ่มบริการดูแลอย่างเอาใจใส่ระดับห้าดาวจากทีมงานของดุสิตธานี ซึ่งจะทำให้โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ให้กลายเป็นโครงการระดับโลกบนมาตรฐานใหม่ที่มีคุณค่ามากขึ้นใน 4 ด้าน คือ 1.การผสานนวัตกรรมเข้ากับมรดกและเรื่องราวทางประวัติศาสาตร์ 2. การเชื่อมโยงทุกย่านสำคัญด้วยระบบคมนาคมทุกระนาบ 3. การสร้างคุณภาพชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และ 4. การใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันพร้อมกับเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชุมชน เพื่อทำให้โครงการแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางและหมุดหมายใหม่ของกรุงเทพฯ