ไม่ว่า “จุดเริ่มต้น” จะเดินกันมาไกลแค่ไหน ใช้ระยะเวลาผ่านมากี่เดือนก็ตาม แต่วันนี้ ทุกอย่างได้เดินมาสู่ “บทสรุป”แล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่สามารถเดินไปจนถึงฝั่งได้อย่างลุล่วง เมื่อที่สุดแล้วร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องเจอกับ “ทางวิบาก” จนไม่อาจฝ่าด่านผ่านการลงมติในวาระที่ 3 ไปได้ ! เพราะที่สุดแล้วร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้ถูกโหวตคว่ำลงในที่ประชุมรัฐสภา เมื่อกลางดึกของวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา เมื่อไม่สามารถได้เสียงของส.ว.84 เสียงเท่ากับว่า ร่างรัฐธรรมนูญ “แท้ง” โดยไม่ทันได้คลอด ทั้งนี้ผลจากการลงมติวาระสาม ของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...)พ.ศ. ...แก้ไขเพิ่มเติมม.256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 ด้วยการขานชื่อสมาชิกที่มีอยู่ทั้งหมด 737 คน ซึ่งผลปรากฏว่า ส.ส.เห็นชอบ 206 , ส.ว. 2 รวมเป็น 208 เสียง ไม่เห็นชอบ ส.ส. ไม่มี ส.ว. 4 คน รวม 4 เสียง งดออกเสียง ส.ส.10 ส.ว 84 รวม 94 เสียง ไม่ประสงค์ลงคะแนน ส.ส.9 ส.ว.127 รวม 136 เสียง จากนี้เส้นทางต่อไปจะต้องไปอยู่ที่การทำประชามติ เพื่อสอบถามประชาชน ว่าประสงค์จะให้มีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ตามคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ชี้เอาไว้ชัดเจน “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยวิธีการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ให้มีหมวด 15/1 ย่อมมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญ ที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ต้องการปกป้องคุ้มครองไว้ หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อน ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” ดังนั้นหมายความว่า รัฐสภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องให้ถาม “ประชาชน” เสียก่อน โดยผ่านการทำประชามติ จึงชัดแจ้งว่าแม้ร่างรัฐธรรมนูญ จะผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมรัฐสภาในวาระ 1-2 มาแล้ว แต่ไม่ใช่เป็นการ “แก้รายมาตรา” และที่สำคัญ “ประชาชน” ถือเป็น “ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม” หากจะทำฉบับใหม่ ก็ต้องทำประชามติ ถามประชาชนว่า “สมควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ที่ไม่ใช่ฉบับ 2560 หรือไม่ เท่ากับว่าจากเดิมที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ “ความหวัง” ของทั้ง “ฝ่ายการเมือง” ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้าน หรือแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเอง รวมถึง “ม็อบราษฎร” ที่เคยชูประเด็นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ เป็น1ใน3ข้อเรียกร้อง มีอันต้อง “เปลี่ยนทิศทาง” เกมพลิกไปสู่เส้นทางที่อ้อมไกลไปกว่าเดิม นั่นคือการกลับไปถาม ประชาชน “ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม” ผ่านการทำประชามติ ว่าประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่ ! ทั้งนี้เมื่อมติจากที่ประชุมรัฐสภา โหวตไม่เห็นชอบต่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระ 3 ไปแล้วส่งผลให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญต้องเริ่ม “นับหนึ่งใหม่”และที่สำคัญต้องใช้ระยะเวลาเป็นปี เพราะอย่าลืมว่าทุกด่านมี “กับดัก” กว่าที่กระบวนการรื้อรัฐธรรมนูญเก่า จนไปสู่การเขียนฉบับใหม่ขึ้นมาได้ ย่อมเสร็จสิ้นไม่ทันการณ์ ต่อการต่อสู้ในสนามการเลือกตั้งครั้งใหม่ จนรัฐบาลอยู่จนครบเทอม ในปี 2566 ! และแม้ปัญหากรณีดังกล่าวจะเกี่ยวพันกับ รัฐบาล โดยเฉพาะ “3 ป.” ทั้ง “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ “บิ๊กป๊อก”พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งถูกฝ่ายค้านและม็อบราษฎร นอกสภาฯ โจมตีอย่างหนัก ว่า เหตุที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถูกเตะถ่วงอีกทั้งยังมีการ “วางกับดัก” เอาไว้ในตัวรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นก็เพื่อจุดมุ่งหมายเดียว คือการสืบทอดอำนาจของ ทั้ง 3ป. ผ่านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มาตั้งแต่แรก แต่ถึงกระนั้นดูเหมือนว่า ทั้งบิ๊กตู่ และบิ๊กป้อม พูดย้ำอยู่หลายครั้ง ทั้งต่อหน้าสื่อ และในระหว่างหารือกับรัฐมนตรีในที่ประชุมครม.ว่าขอให้เป็นเรื่องของรัฐสภา ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลได้สั่งการให้สำนักงบประมาณ ไปเตรียมจัดเงินงบประมาณ เพื่อเอาไว้ใช้ในการทำประชามติ “หากต้องทำ” ทั้งนี้หากมองข้ามช็อตไปถึงการทำประชามติ ครั้งแรกตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ชี้ว่าให้สอบถามประชาชนเสียก่อนว่าต้องการจะให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อดูไทม์ไลน์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่เมื่อครั้งนี้ยังไม่เกิดปัญหาการตีความจนต้องอาศัยการชี้ขาดจากศาลรัฐธรรมนูญ จะพบว่า ในกรณีเมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ สามารถ “ผ่านวาระสาม”โดยไร้ปัญหา จะไปเข้าสู่การทำประชามติ โดยใช้ระยะเวลาราว2 เดือน จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ไปจนถึงการใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญ โดยคาดว่า จะไปเสร็จในราวเดือนธ.ค.2564-ม.ค.2565 และกว่าจะเสร็จสิ้นครบหมดทุกกระบวนการ ทั้งการได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ทำประชามติรอบที่สอง หากผ่านความเห็นชอบจากประชาชน ให้ประธานรัฐสภานำขึ้นทูลเกล้าฯ คาดว่าจะจบที่ราวเดือนมี.ค.2565 แต่เมื่อวันนี้ ตลอดเส้นทางของกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญกลายเป็นทางวิบาก นั่นหมายความว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะยิ่งใช้เวลายืดเยื้อยาวนานออกไป และเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังไม่สามารถมีขึ้นได้แล้ว แต่อย่าลืมว่าเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่จนครบเทอม ครบ4ปีแล้ว การเลือกตั้งครั้งใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในปี 2565 -2566 นั้นโอกาสที่จะได้ใช้ “กติกาใหม่” ตามความต้องการของพรรคการเมือง จึงเกิดขึ้นไม่ได้ ที่สุดแล้วจะกลายเป็น “การเลือกตั้งใหม่” ภายใต้ “กติกาเดิม” ใช้รัฐธรรมนูญฉบับ2560 ซึ่งมี “250ส.ว.” กลไกของ คสช.ในปี 2557 อยู่ยาวค้างที่สภาสูงรอโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมานั่ง “นายกฯสมัยที่ 3” อย่างชอบธรรม หากจะบอกว่า รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ได้ปิดประตูแพ้ ให้กับเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงไม่ผิดนัก ! แน่นอนว่าการเมืองชนิดที่เรียกว่า “ชนะข้ามช็อต”เช่นนี้ ทุกคนย่อมอ่านออก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ พรรคฝ่ายค้านจะพากัน หัวฟัดหัวเหวี่ยง ขณะเดียวกันยังมีพรรคการเมืองที่เตรียมตัว “จองตั๋ว” ขอเข้าร่วมขบวนกับพรรคพลังประชารัฐ และ “พรรคใหม่” ของ พี่น้อง 3ป. เพื่อเตรียมตัวเป็นรัฐบาลในสมัยหน้ากันอย่างคึกคัก อยู่ที่ว่า “3ป.”จะเลือกใคร ให้ขึ้นรถไฟสายใหม่ สำหรับพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ เองในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลอันดับหนึ่งและสอง แม้ลึกๆแล้วจะต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ในมาตราที่ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้งก็ตาม แต่หากเมื่อทุกอย่างเดินมาจน “สุดทาง” พวกเขาก็ยินดีที่จะใช้กติกาเดิม และจะเกาะกลุ่มไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอน แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ แสดงจุดยืนหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีอันต้องถูกคว่ำลง หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ “บิ๊กเนม”ของพรรคภูมิใจไทย คือ “เนวิน ชิดชอบ” เคยฝากคำพูดวลีเด็ดไปถึง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่เคยเป็น “นายเก่า” ในวันที่เนวิน ตัดสินใจนำพรรคภูมิใจไทย เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ในยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า “มันจบแล้วครับนาย!” คือประโยคที่เป็นเหมือน “บทสรุป” ทุกการต่อสู้ทางการเมือง ระหว่างการเมืองสองขั้วได้ชัดเจน ให้ทักษิณ ยอมรับความพ่ายแพ้ มาวันนี้ ก็เช่นกัน เกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดำเนินมายาวนานหลายเดือน อันเกิดขึ้นจากข้อเรียกร้องของมวลชนม็อบราษฎรนอกสภาฯ บวกกับแรงกดดันจาก “ฝ่ายค้าน” และพรรครัฐบาลบางส่วนในสภาฯ ก็ดูเหมือนว่าได้เดินมาถึงสุดทาง จนยากที่จะไปต่อ ฉะนั้นการที่จะหวังให้พรรคร่วมรัฐบาล พรรคใดพรรคหนึ่ง ประกาศถอนตัวจากรัฐบาล จึงไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะจากนี้ไป “แรงกดดัน” ที่เคยจากการวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำลังจะปิดฉากลง เพราะทุกอย่างมันจบแล้ว รวมถึงยังเป็นการปลดล็อคให้กับรัฐบาล ทั้งในและนอกสภาฯ ด้วยถือว่า รัฐบาลได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ในทุกทางแล้ว ทุกอย่างเป็นเรื่องของ รัฐสภา ทุกอย่างต้องเดินไปตามบทบัญญัติของกฎหมายนั่นเอง !