ท่ามกลางความวุ่นวาย ฝุ่นตลบจากประเด็นที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่บัดนี้เกมถูกส่งกลับไปที่รัฐสภา เกิดข้อถกเถียง กันอย่างหนักตั้งแต่ยังไม่ถึงวันประชุมรัฐสภา วันที่ 17 มี.ค. 64 ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องอำนาจของรัฐสภาในการร่างรัฐธรรมนูญ
ความวุ่นวายทางการเมือง ในเวทีรัฐสภา ดำเนินไปด้วยความเข้มข้น ระหว่าง สมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส.ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และส.ว.เมื่อต่างฝ่าย ต่างตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกันไปคนละทิศ คนละทาง ได้กลายเป็นภาพสะท้อนที่ดูแตกต่างไปจากความเคลื่อนไหวของ “ม็อบราษฎร” บนท้องถนนอย่างสิ้นเชิง
เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่าการเคลื่อนไหวจากมวลชนม็อบราษฎรได้เข้าสู่โหมดที่อ่อนล้า เต็มที เนื่องจาก “แกนนำม็อบ” พากันถูกควบคุมตัวในเรือนจำ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม กันถ้วนหน้า แม้การระดมมวลชนจะมีขึ้นเป็นระยะๆ แต่ใช่ว่าจะสามารถเดินหน้าไปอย่างดุเดือดและเข้มข้น ยิ่งรุนแรง ยิ่งกลายเป็นว่า ม็อบราษฎรกลับเป็นฝ่ายถูก “กระชับพื้นที่” โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่แทน
กลับมาที่พรรคก้าวไกลเวลานี้น่าสนใจว่า เกมในรัฐสภา ที่วางเป้าหมายเอาไว้ที่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้งฉบับ ก็กลับกลายเป็นว่าไปไม่ถึงฝั่ง เพราะเมื่อก่อนหน้านี้ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ไม่เลือกหนทาง “แก้รายมาตรา” ด้วยหวังว่าจะได้โละรัฐธรรมนูญฉบับ 60 แล้วร่างฉบับใหม่กันขึ้นมา ก็กลายเป็นว่า เวลานี้รัฐสภา ยังฝ่าด่าน “วาระสาม” ไม่พ้น !
เมื่อหนทางการแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 สำหรับพรรคก้าวไกล ยิ่งถอยห่างออกจาก “เป้าหมาย” คือการได้กติกาใหม่ ที่ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้เฉพาะ “ฝ่ายรัฐบาล” ยิ่งหมายความว่า การเลือกตั้งส.ส.ครั้งหน้าพรรคก้าวไกล อาจจะต้องใช้กติกาเก่า นั่นคือรัฐธรรมนูญ 2560 ที่พวกเขาไม่พึงปรารถนา
อย่างไรก็ดี ปัญหาของพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองที่สืบทอดอุดมการณ์การเมือง จากพรรคอนาคตใหม่ อาจต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้น เมื่อการต่อสู้ทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า “กระแส” ของพรรคก้าวไกล อาจจะไม่เปรี้ยงปร้าง เหมือนกับที่พรรคอนาคตใหม่ เคยสร้างสถิติกวาดส.ส.เข้าสภาฯ มาได้ถึง 81 คน ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองใหม่ เพิ่งลงสนามเลือกตั้งครั้งแรก
พรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกยุบพรรคไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แล้วเกิดเป็นภาคต่อมาถึงพรรคก้าวไกล แต่สิ่งที่จะไม่ได้ตามมาคือ “กระแส” ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค ที่บัดนี้ได้เป็นประธานคณะก้าวหน้า เคยทำเอาไว้ก็ย่อมมีอันต้องตกหล่นกลางทาง ซึ่งโจทย์ข้อยาก ข้อนี้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล เองก็รู้ดี
อย่างน้อยที่สุดการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) 76 จังหวัดที่ผ่านมา คือ “คำตอบ” ที่ทั้งธนาธร และพรรคก้าวไกลน่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากว่า “กระแส” ของผู้สมัครที่ยึดโยงกับคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ไม่ได้ตอบโจทย์ สร้างความพอใจให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง
ทั้งพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า ล้วนแล้วแต่เป็น “เนื้อเดียวกัน” ที่เปรียบเหมือน “พลุ” แจ้งเกิดในเวทีการเมืองอย่างรวดเร็ว เจิดจ้า แต่ทว่าก็เป็นชั่วพริบตาเดียว เมื่อสิ้นเสียง ก็สิ้นแสง ยิ่งเมื่อวันนี้ไม่อาจก้าวข้ามข้อครหา ว่าสนับสนุนการชุมนุมของม็อบราษฎร ชูประเด็นว่าด้วยการปฏิรูปสถาบัน ด้วยท่าทีก้าวร้าวจาบจ้วง จนบรรดาแกนนำพากันเดินเข้าเรือนจำ ถูกคดีความกันเป็นทิวแถว ยิ่งทำให้หนทางข้างหน้าของพรรคก้าวไกล ไปต่อลำบากในทางการเมือง !