นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2564 สำรวจกลุ่มธุรกิจภาคต่างๆช่วง 22-26 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย อยู่ที่ 29.6 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และค่าดัชนีต่ำสุดในรอบ 26 เดือน นับจากเริ่มทำการสำรวจปี 2562 โดยผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในปัจจุบันลดลงต่อเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ 20.1 แต่ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในอนาคตดีขึ้นอีกครั้งในรอบ 2 เดือน มาอยู่ที่ 39.1
โดยปัจจัยลบสำคัญที่มีผลต่อดัชนีฯ ในเดือนก.พ.ได้แก่ ความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ที่มีการระบาด และมีผู้ติดเชื้อภายในประเทศจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจในประเทศ,สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)เผย GDP ไตรมาส 4/63 ขยายตัว 1.3% ส่งผลให้ทั้งปี 63 GDP หดตัว -6.1% ต่ำสุดในรอบ 22 ปีนับแต่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง,ความกังวลจากเสถียรภาพทางการเมือง และการชุมนุมทางการเมือง, ประเทศไทยยังขาดดุลการค้า,ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น,เงินบาทปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อย
ส่วนปัจจัยบวกที่สำคัญได้แก่ ภาครัฐดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในโครงการคนละครึ่ง,เราเที่ยวด้วยกัน,เราชนะ และเรารักกัน ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศ,การเริ่มต้นฉีดวัคซีนโควิดของรัฐบาลเป็นรูปธรรมมากขึ้น และจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มลดลงอย่างชัดเจน, กนง.มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เพื่อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง,การส่งออกเดือนม.ค.64 ขยายตัว 0.35%
โดยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในแต่ละภูมิภาคมีรายละเอียดดังนี้ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ดัชนี TCC-CI อยู่ที่ระดับ 30.4 ลดลงจากระดับ 30.6 ในเดือนม.ค.64 โดยมีปัจจัยลบจากผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19, การสั่งปิดสถานที่ชั่วคราวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด, ความกังวลเรื่องการชุมนุมทางการเมือง ส่วนปัจจัยบวกเช่น ภาครัฐทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด, ข่าวการเริ่มฉีดวัคซีนโควิด ทำให้ธุรกิจมีความคาดหวังในการฟื้นเศรษฐกิจ โดยมีข้อเสนอให้ภาครัฐเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศ, เร่งการนำเข้าวัคซีนและกระจายการฉีดให้ประชาชนเพื่อสร้างภูมิต้านทาน เป็นต้น
สำหรับภาคกลาง ดัชนี TCC-CI อยู่ที่ระดับ 30.1 ลดลงจากระดับ 30.4 ในเดือนม.ค.64 โดยมีปัจจัยลบ เช่น ความกังวลจากการระบาดของไวรัสโควิด ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจให้อาจชะลอการลงทุนและลดการจ้างงาน,ปัญหาการว่างงาน,ความกังวลต่อปัญหาภัยแล้ง และต้นทุนทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยบวกได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัวและมีคำสั่งซื้อมากขึ้น, มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล เป็นปัจจัยบวกสนับสนุนให้เกิดการลงทุนและการจ้างงาน โดยมีข้อเสนอต่อภาครัฐเช่น ควรลดขั้นตอนความยุ่งยากในการติดต่อของราชการและสถาบันการเงิน, ควบคุมต้นทุนทางการเกษตร และสินค้าต่างๆที่ราคาเพิ่มขึ้น
ส่วนภาคตะวันออก ดัชนี TCC-CI อยู่ที่ระดับ 33.7 ลดลงจากระดับ 33.9 ในเดือนม.ค.64 โดยมีปัจจัยลบ ได้แก่ ความกังวลจากการระบาดของไวรัสโควิดที่ยังไม่หมดไป, มาตรการล็อกดาวน์ และระงับการเดินทางเข้า-ออกในบางจังหวัด,กำลังซื้อลดลง ทั้งจากการท่องเที่ยวและรายได้ปกติ ส่วนปัจจัยบวก เช่น สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดมีแนวโน้มคลี่คลายลง,ภาครัฐมีมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยมีข้อเสนอถึงภาครัฐเช่น ควรส่งเสริมการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อรองรับการเปิดประเทศ,พัฒนาด้านคมนาคมในชุมชนให้เดินทางได้สะดวก และกระจายเทคโนโลยีการสื่อสารเข้าสู่ชุมชน
ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนี TCC-CI อยู่ที่ระดับ 29.0 ลดลงจากระดับ 29.1 ในเดือนม.ค.64 โดยปัจจัยลบที่สำคัญ ได้แก่ การระบาดของไวรัสโควิดที่ยังไม่คลี่คลาย, ความกังวลของเกษตรกรต่อปัญหาภัยแล้ง, ระดับรายได้ที่ลดลงและภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยบวก ได้แก่ ภาครัฐสนับสนุนมาตรการต่างๆ ในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ส่วนข้อเสนอ เช่น เร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างประเทศ เพื่อไม่ให้โรงงานต่างๆ ย้ายฐานการผลิตออกไป,กระตุ้นการใช้จ่ายผ่านนโยบายที่เข้าถึงประชาชนได้ทุกระดับ
โดยภาคเหนือ ดัชนี TCC-CI อยู่ที่ระดับ 29.1 ลดลงจากระดับ 29.3 ในเดือนม.ค.64 โดยปัจจัยลบ ได้แก่ ปัญหาฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งคุณภาพอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ, ผู้ประกอบการยังกังวลปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด, นักท่องเที่ยวลดลงอย่างต่อเนื่อง,การหยุดหรือเลิกกิจการ ทำให้คนตกงาน ส่วนปัจจัยบวกเช่น เข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ภาคอุตสาหกรรมได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการด้านสินเชื่อ ส่วนข้อเสนอแนะได้แก่ ให้รัฐช่วยหามาตรการพยุงธุรกิจไม่ให้ปิดกิจการ,ส่งเสริมการพัฒนาประสิทธิภาพ และมูลค่าเพิ่มของภาคการผลิต บริการ การค้าและการลงทุน
สำหรับภาคใต้ ดัชนี TCC-CI อยู่ที่ระดับ 26.7 ลดลงจากระดับ 26.9 ในเดือนม.ค.64 โดยมีปัจจัยลบ เช่น ภาคการท่องเที่ยวยังซบเซาจากที่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทย, สถานการณ์การระบาดของโรคโควิดยังไม่หมดไป, ปัญหาการว่างงานและคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่วนปัจจัยบวก เช่น การสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือชาวสวนยางต่อเนื่อง, ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวได้ จากความต้องการสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับยางพาราเพิ่มสูงขึ้น ส่วนข้อเสนอแนะ ได้แก่ ให้ภาครัฐเร่งเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ได้มีการฉีดวัคซีนแล้ว,ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในประเทศ
ทั้งนี้ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 4 เรื่องเร่งด่วนคือ 1.เร่งการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เพื่อให้สถานการณ์การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทั้งภาคการค้า การส่งออก และการท่องเที่ยว 2.ส่งเสริมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืน โดยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศให้มากขึ้น 3.สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน และความเชื่อมั่นกับนักลงทุนพร้อมสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน 4.เร่งฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อลดปัญหาการตกงานและเลิกจ้างจากนี้
”ในการสำรวจผู้ประกอบการยังไม่รับรู้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัว แม้รัฐจะมีมาตรการกระตุ้นใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่ง เราชนะ ที่มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วแสนกว่าล้านบาท แต่ก็หวังว่าอนาคตจะดีขึ้นเมื่อไทยเริ่มฉีดวัคซีนและหวังเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในไตรมาส4ปีนี้ คาดว่าจะมียอด 2 ล้านคน ขณะที่ยังไร้ความเชื่อมั่นในปัจจุบัน เนื่องจากผู้ประกอบการยังไม่เห็นความชัดเจนแผนบริหารจัดการฉีดวัคซีน รายละเอียดและจำนวนกลุ่มที่จะได้รับการฉีด เอกชนอยากเห็นเร็วที่สุดคือความเชื่อมั่นต่อแผนการฉีดวัคซีน และมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวเข้าไทยหลังต่างประเทศฉีดวัคซีนกันมากขึ้น จนเดินทางท่องเที่ยวได้แล้ว”