เข้าทำนอง “สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพ” จริงๆ
สำหรับ “ไวรัสโคโรนา 2019” หรือ “โควิด-19” ที่พ่นพิษอาละวาดเขย่าโลก ณ ชั่วโมงนี้
เพราะยังไม่ทีท่าว่าจะยุติลงเมื่อใด แถมชวนให้สยองใจซ้ำเข้าให้อีก กับปรากฏการณ์ที่แพร่ระบาดในประเทศต่างๆ อย่างระลอกแล้ว ระลอกเล่า นับจากโควิด-19 ปรากฏโฉมครั้งแรกบนโลกใบนี้ ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย จีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อเดือนธันวาคม 2019 (พ.ศ. 2562) เป็นต้นมา
ถึง ณ เวลานี้ก็ระบาดไปแล้วในพื้นที่ 219 ประเทศ / เขตการปกครอง พร้อมกับทำให้ผู้คนต้องล้มป่วยจากการติดเชื้อมีจำนวนสะสมมากกว่า 120 ล้านคน ในจำนวนนี้ถูกคร่าชีวิตไปแล้วเกือบ 2.7 ล้านคนด้วยกัน
โดยในระหว่างที่เชื้อไวรัสโควิดฯ แผลงฤทธิ์ ก็แพร่ระบาดในพื้นที่ประเทศต่างๆ ไปแล้วหลายระลอก ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการ แต่ที่นับว่าทำให้ถูกระบาดซ้ำ ก็มาจาก “ความหละหลวมในมาตรการป้องกัน” เป็นหลักใหญ่ เช่น ละเลยที่จะสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย การไม่ใส่ที่จะล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อโรคให้บ่อยๆ รวมถึงการไม่ระแวดระวังที่จะเว้นระยะห่างทางสังคม หรือโซเชียลดิสแทนซิง
ชนิดที่ถ้าเปรียบเป็นกีฬามวย ก็ต้องบอกว่า “การ์ดตก” เมื่อไหร่ เป็นได้โดนโควิดฯ ปล่อยหมัดน็อก ต่อร่วงไปกับพื้นเข้าให้เมื่อนั้น
ยกตัวอย่างเช่น “สหรัฐอเมริกา” ประเทศที่ได้ชื่อว่า มหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลก แต่ปรากฏว่า เมื่อพูดถึงโรคโควิดฯ แล้ว ถิ่นลุงแซม แดนมะกัน แห่งนี้ ก็ขึ้นแท่นหมายเลขหนึ่งของโลก คือ มีจำนวนมากที่สุดในโลก ทั้งในส่วนของผู้ป่วยติดเชื้อ และผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคโควิดฯ จากการที่เผชิญหน้ากับปรากฏการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ หลายระลอก โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขโลก บอกว่า สหรัฐฯ ผจญกับไวรัสโควิดฯ ไปแล้ว “4 ระลอก” หรือ “รอบที่ 4” แถมยังมีทีท่าว่าจะเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดรอบต่อไปอีกอย่างต่อเนื่องด้วย
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงตัวเลขของผู้ป่วยติดเชื้อในสหรัฐฯ ปรากฏว่า มีจำนวนสะสมสูงถึงกว่า 30 ล้านคน ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวนเกือบ 5.5 แสนคน
ล่าสุด ก็เป็น “อิตาลี” แดนมักกะโรนี ก็กำลังระส่ำกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ที่หวนกลับมาเข้าขั้นวิกฤติอีกครั้ง หลังจากโควิดฯ แผลงฤทธิ์อาละวาดหนักเมื่อปีที่แล้ว 2 – 3 ระลอก ถึงขั้นเป็นหนึ่งในต้นทางของไวรัสโควิดฯ ที่กลายพันธุ์ จนกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ อย่างสายพันธุ์ “จี” ที่ลุกลามไปยังประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ของโลกมาแล้ว รวมทั้งไทยเราด้วย
โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ระบุว่า อิตาลีเผชิญหน้ากับวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ ระลอก 4 หรือรอบที่ 4 แล้ว หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เป็นจำนวนมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เอาเฉพาะตลอดช่วง 2 วันที่แล้ว ปรากฏว่า ในแต่ละวัน พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ถึงวันละกว่า 2.6 หมื่นคน หลังจากที่เมื่อช่วงก่อนหน้าจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ ได้ทุเลาเบาบางกันไปบ้าง ส่งผลให้ถึง ณ เวลานี้ อิตาลี มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมจำนวนกว่า 3.2 ล้านคน มากเป็นอันดับ 7 ของโลก ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวนกว่า 1 แสนคน
ท่ามกลางความหวั่นวิตกของทีมแพทย์ พยาบาล และทางการสาธารณสุขของอิตาลี ที่ระบุว่า การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิดฯ ในอิตาลีรอบนี้ มาเร็วกว่าที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขโลกคาดการณ์ และส่งเสียงเพรียกเตือนต่อรัฐบาลกรุงโรมว่า อิตาลีอาจเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโรคโควิดฯ รอบ 4 ในช่วง “ฤดูใบไม้ผลิ” ที่จะถึงนี้ คือ “ระหว่างวันที่ 21 มี.ค. - 20 มิ.ย.”
เรียกว่า โควิดฯ รอบใหม่มาเร็วเกินคาด
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขของแดนมักกะโรนี้ ก็บ่งชี้ว่า เทศกาลวันพระเยซูคืนพระชนม์ชีพ หรืออีสเตอร์ ในปีนี้ ซึ่งจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน เดือนหน้านี้นั้น ชาวอัสซูรี คงต้องเฉลิมฉลองเทศกาลดังกล่าว ท่ามกลางมาตรการปิดพื้นที่ หรือล็อกดาวน์ เนื่องจากทางการรัฐบาลกรุงโรม ได้ประกาศบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ระลอกใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 มีนาคมนี้ไปจนถึงวันอังคารที่ 6 เมษายน เดือนหน้า
ทั้งนี้ ในการประกาศบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ข้างต้น ยังกำหนดให้แต่ละพื้นที่ มีความเข้มงวดแตกต่างกันออกไปด้วย โดยบางพื้นที่ที่โควิดฯ ระบาดมีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เป็นจำนวนมาก ก็จะถูกสำทับด้วยการประกาศให้เป็น “พื้นที่สีแดง (Red Zone)” ซึ่งหมายความว่า ประชาชนไม่สามารถออกนอกเคหะสถานโดยไม่จำเป็นได้เลย รวมถึงร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ก็ไม่สามารถเปิดให้บริการได้เช่นกัน ส่วนบางพื้นที่ที่โรคโควิดฯ ระบาดรุนแรงถัดลงมาก็จะถูกประกาศให้ “พื้นที่สีส้ม (Orange Zone)” ที่ความเข้มงวดลดระดับลงมา เป็นต้น
นอกจากอิตาลีแล้ว ก็ยังมี “อังกฤษ” ที่มีสัญญาณเตือนว่า อาจเผชิญการระบาดรอบ 4 ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยเช่นกัน รวมถึง “เยอรมนี” ประเทศพี่เบิ้มใหญ่ในภูมิภาคยุโรป ก็ได้ประกาศถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ ระลอก 3 ซึ่งทางนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนก่อนหน้า
โดยการแพร่ระบาดระลอกใหม่รอบ 3 รอบ 4 ในภูมิภาคยุโรป ก็ยังสร้างความวิตกกังวลด้วยว่า อาจเป็นเหตุให้เชื้อไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ เป็นโควิดฯ สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดน้อยถอยลง ไปตามมาก็เป็นได้