กรมประมง ย้ำชัดพร้อมขับเคลื่อน “โครงการฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรประมงในทะเลสาบสงขลา” หนุนแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมของสัตว์น้ำ โดยเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อบริหารทรัพยากรประมงให้มีความยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุด
เมื่อวันที่ 17 มี.ค. นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยหลังลงพื้นที่ตรวจติดตามโครงการฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรประมงในทะเลสาบสงขลาเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ว่า “ทะเลสาบสงขลา” เป็นทะเลสาบธรรมชาติแห่งเดียวในประเทศไทยซึ่งมีขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช มีสภาพทางระบบนิเวศวิทยาและพันธุ์สัตว์น้ำที่หลากหลาย เนื่องจากมีต้นน้ำลำคลองหลายสายไหลมาบรรจบกันและเชื่อมต่อสู่ทะเลอ่าวไทย แต่ในสภาวการณ์ปัจจุบันทรัพยากรสัตว์น้ำเริ่มเสื่อมโทรมลงจากปัญหาการทำประมงที่เกินกำลังการผลิตของธรรมชาติ และขาดการบริหารจัดการ จึงมีความจำเป็นที่ต้องเร่งฟื้นฟูเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทรัพยากร กรมประมงจึงได้จัดทำโครงการฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรประมงในทะเลสาบสงขลาขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และสนับสนุนให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เน้นย้ำความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนต่อภาคการเกษตร โดยอาศัยการบูรณาการจากชุมชนประมงท้องถิ่นในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งโครงการดังกล่าว มีการดำเนินงานแบ่งเป็น 6 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมการพัฒนาฟาร์มสัตว์น้ำชุมชน กิจกรรมการเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ กิจกรรมการควบคุมการทำประมงในพื้นที่ทะเลสาบสงขลา กิจกรรมการพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กิจกรรมการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ และกิจกรรมการเสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งผลการดำเนินโครงการฯ ปี 2563 ได้มีการผลิตพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อปล่อยในกิจกรรมบูรณาการฟาร์มทะเลโดยชุมชนเพื่อการฟื้นฟูทะเลสาบ จำนวน 52.09 ล้านตัว มีการเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เพื่อปล่อยอีกกว่า 2.37 ล้านตัว และผลการสำรวจสภาวะทรัพยากรและประเมินผลผลิตสัตว์น้ำรอบทะเลสาบสงขลา ปี 2563 มีปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้รวมทั้งสิ้นกว่า 2,774.7 ตัน
การลงพื้นที่ในครั้งนี้ รองอธิบดีกรมประมงยังได้เข้าเยี่ยมองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น กลุ่มอนุรักษ์ชายฝั่งและฟาร์มทะเลชุมชนบ้านใหม่ (ท่าเสา) ม.1 ต.สทิงหม้อ อ.สิงหนคร จ.สงขลา ซึ่งเป็นองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่ได้รับรางวัลชนะเลิศโครงการประกวดชุมชนประมงดีเด่น ภายใต้โครงการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนประมง ประจำปี 2563 ของกองตรวจการประมง กรมประมง โดยกลุ่มอนุรักษ์ชายฝั่งและฟาร์มทะเลชุมชนบ้านใหม่ (ท่าเสา) เป็นชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ ภายใต้โครงการฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรประมงในทะเลสาบสงขลา
ส่วนแนวทางการดำเนินโครงการฯ ในปี 2564 ยังคงมุ่งเน้นการฟื้นฟูทรัพยากรประมงโดยชุมชนมีส่วนร่วม มีการดำเนินกิจกรรมด้านการฟื้นฟูทรัพยากรประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มผลผลิตและคงความหลากหลายของทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลสาบสงขลา โดยมีแผนการดำเนินงานผลิตปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำกว่า 53 ล้านตัว และเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ อีกกว่า 2 ล้านตัว
"จากการตรวจติดตามโครงการฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรประมงในทะเลสาบสงขลาครั้งนี้ เชื่อมั่นว่า โครงการฯ มีความพร้อมและศักยภาพมากพอที่จะฟื้นฟูทรัพยากรประมง สามารถเพิ่มผลผลิตและคงความหลากหลายของทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลสาบสงขลา สร้างรายได้ให้กับชาวประมง เป็นแหล่งอาหารของชุมชนรอบทะเลสาบสงขลา ตลอดจนชุมชนสามารถจัดการทรัพยากรประมงได้อย่างยั่งยืน และเกิดประโยชน์สูงสุด"รองอธิบดีกรมประมง กล่าว
ด้านนายหมัดอุเส็น สนเส็ม ประธานกลุ่มอนุรักษ์ชายฝั่งและฟาร์มทะเลชุมชนบ้านใหม่ (ท่าเสา) กล่าวว่า กลุ่มอนุรักษ์ชายฝั่งและฟาร์มทะเลชุมชนบ้านใหม่ (ท่าเสา) ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 จากปัญหาการลดลงของทรัพยากรสัตว์น้ำที่ส่งผลให้รายได้ชาวบ้านลดลง มีหลักการดำเนินงาน 3 ด้าน คือ 1.ด้านการปกป้องพื้นที่เพื่ออนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนเป็นที่อาศัยหลบภัยของสัตว์น้ำ 2.ด้านการฟื้นฟู อาทิ ติดตั้งซั้งบ้านปลา ปลูกต้นโกงกาง เพาะฟักปลาขี้ตัง ปูดำ ปูม้า เป็นต้น และ 3.ด้านการส่งเสริมต่อยอดองค์ความรู้ ซึ่งจากการดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้จำนวนปลากดขี้ลิง ทรัพยากรสัตว์น้ำที่ใกล้จะสูญพันธุ์มีการเพิ่มปริมาณมากขึ้นหลายเท่าตัว จนทำให้ชุมชนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ สร้างจิตสำนึกและประชาสัมพันธ์เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืนแก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป โดยทางกรมประมงได้เข้ามาสนับสนุนองค์ความรู้ต่างๆ และเพิ่มศักยภาพให้กับทางกลุ่มฯ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ เป็นการบูรณาการชุมชนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน