จากกรณี วัคซีนโควิด-19 แอสตร้าเซนเนก้า มีความเชื่อมโยงกับกับภาวะ ลิ่มเลือดอุดตัน จนหลายประเทศทั่วโลกประกาศระงับการฉีดนั้น ล่าสุด วันที่ 16 มี.ค.64 " กรมควบคุมโรค -แอสตร้าเซนเนก้า "ออกแถลงการณ์ร่วม โดยมีเนื้อความระบุดังนี้
1. จากผลการสอบสวนกรณีที่มีผู้เสียชีวิตหลังจากได้รับวัคซีนที่ประเทศเดนมาร์ก พบว่าไม่ได้มีสาเหตุมาจากวัคซีนแต่อย่างใด สำหรับประเทศไทย โดยคณะกรรมการด้านวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เห็นควรให้มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไปในจังหวัดเป้าหมายตามแผนกำหนดการเดิมต่อไป โดยในวันนี้ (16 มีนาคม 2564) เริ่มดำเนินการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวันแรก ให้กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี 17 ท่าน รวมถึงอาจารย์แพทย์อีก 5ท่าน ได้แก่ ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร, ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ, ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา, ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา และ นพ.โสภณ เมฆธน ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนเข้าประชุม ครม. เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
2. เพื่อบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 แก่ประชาชน โดยคำนึงถึงหลักจริยธรรม ความเท่าเทียม หลักฐานทางวิชาการ ปริมาณวัคซีนที่จัดหาได้ และความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้บริบทของประเทศ ประเทศไทยได้มีการดำเนินงานภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา โดยมีนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ซึ่งมีคณะทำงานด้านต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานวัคซีนในประเทศไทยทั้งหมด มีเป้าหมายเพื่อลดการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต รักษาความมั่นคงระบบสุขภาพ ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ และรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งผ่านการพิจารณาจาก ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด19 และ เห็นชอบจาก ครม ในการอนุมัติงบประมาณจัดซื้อวัคซีนเพื่อครอบคลุมประชาชนในประเทศไทยและ มีแผนการดำเนินการฉีดครบทั้งประเทศภายในปี 2564 นี้
3. ก่อนที่วัคซีนจะได้รับการอนุญาตให้ใช้จริงต้องผ่านการทดลองในมนุษย์ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ผลและไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง สำหรับแอสตร้าเซนเนก้าได้ผ่านขั้นตอนนั้นแล้ว และได้รับการรับรองในความปลอดภัย จากหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป และองค์การอนามัยโลก รวมถึงประเทศอื่นๆกว่า 70 ประเทศทั่วโลก
