เมื่อวันที่ 13 มี.ค.64 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก โดยมีรายละเอียดดังนี้
"ปัญหาวัคซีน : รัฐบาลจำเป็นต้องมีแผนสอง
ปัญหาวัคซีนจาก AstraZeneca ตอกย้ำให้เห็นแล้วว่าการไม่กระจายความเสี่ยง คือความผิดพลาดในการบริหารวัคซีนของรัฐบาล
ย้อนหลังกลับไปเมื่อกลางปีที่แล้ว รัฐบาลทั่วโลกประสบปัญหาเหมือนกันหมด คือ ไม่รู้ว่าวัคซีนจากบริษัทใดจะได้ผลดีที่สุด วัคซีนจากบริษัทใดจะส่งผลกระทบกับคนกลุ่มไหนบ้าง
วิธีแก้ปัญหาของรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์คือสั่งจองวัคซีนจากผู้ผลิตที่มึศักยภาพหลายเจ้า เพื่อบริหารความเสี่ยง ถึงแม้จะใช้งบเยอะไปบ้างในการจองซื้อล่วงหน้า แต่ก็คุ้มค่ากับการซื้อเวลา ให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้เร็วขึ้น
แต่รัฐบาลคุณประยุทธ์ประมาท คิดว่าตนเองจะจัดการกับไวรัสได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดตลอดไป จึงไม่รีบ และจึงไม่จองจากหลายเจ้า บวกกับการไม่ตัดสินใจของผู้บริหารประเทศในการเร่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้คนไทยได้รับการฉีดวัคซีนล่าช้าและตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนจนถึงทุกวันนี้
อย่าลืมว่าความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ ต่อการทำมาค้าขายและรายได้ของประชาชน มหาศาลถึงเดือนละ 2.5 แสนล้านบาท
ผมมีโอกาสพบปะประชาชนในหลายจังหวัด ในหลายภูมิภาค ในรอบเดือนที่ผ่านมา ทุกแม่ค้า ทุกตลาดพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงรายได้ที่ลดลง ชีวิตที่อัตคัตขัดสน ต้องดิ้นรนลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างเพื่อประทังชีวิตวันต่อวัน
พวกเขาต้องทนกับภาวะเช่นนี้ ไปจนถึงอย่างน้อยสิ้นปีนี้ ทั้งๆ ที่ประเทศเรามีงบประมาณมากเพียงพอที่จะจัดหาวัคซีนที่หลากหลาย ฉีดให้กับประชาชนได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่
ผมหวังว่ารัฐบาลจะตระหนักและยอมรับถึงความผิดพลาดของตนเอง และแก้ไขปัญหา โดยผมเสนอให้มีทำ “แผนสอง” หรือ Plan B ไว้ตั้งแต่วันนี้ โดยให้แผนสองนี้ครอบคลุมกรณีฉุกเฉิน ไม่คาดฝัน ให้มากกรณีที่สุด
เช่น หากวัคซีนจาก AZ มีปัญหา ไม่ว่าจากตัววัคซีนเอง หรือจากการผลิคเป็นล็อต รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาอย่างไร, การสร้างเส้นตาย หากกรณีที่วัคซีนจาก AZ มีปัญหา เมื่อไหร่ที่ต้องตัดสินใจสั่งซื้อจากเจ้าอื่น รวมถึงการเจรจาล่วงหน้าไว้ก่อน, หาก SBS ผลิตไม่ได้มาตรฐาน หรือล่าช้ากว่าเวลา เกินเส้นตายที่กำหนด ต้องสั่งตัวอื่นทดแทนเมื่อไหร่อย่างไร, ต้องเตรียมงบประมาณเยียวยาที่เท่าไหร่ และจะมาจากไหน หากการฉีดวัคซีนล่าช้า เป็นต้น
ต้องอย่าลืมว่า 61 ล้านโดส หรือ วัคซีนสำหรับคนไทย 96.8% มาจากผู้ผลิตเจ้าเดียว
วันนี้อาจจะสายเกินไปที่จะเปลี่ยนข้อตกลงต่างๆ ที่ทำไว้แล้ว แต่ไม่สายเกินไปที่จะเตรียมแผนสอง ไว้คอยรับมือกับความน่าจะเป็นต่างๆ อย่างเป็นระบบ ทุกสถานการณ์ ทุกหน่วยงานเท่าทันและรู้ว่าตนเองต้องปฏิบัติอย่างไร หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบไหน
การตัดสินใจของรัฐบาลมีอนาคตของธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็ก, ชีวิตครอบครัวของแรงงานนอกระบบ, พ่อค้าแม่ขายคนขายเช้ากินค่ำ เป็นเดิมพัน หากไม่เตรียมพร้อมรับมือ เหตุการณ์ไม่คาดฝันเพียงเหตุการณ์เดียว คนทั้งประเทศอาจลงเหวไปพร้อมกัน
ให้กำลังใจกับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ที่ลำบากลำบนกับภาวะเศรษฐกิจ และรอคอยวันเวลาที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า อย่าหมดหวังหมดกำลังใจนะครับ
ให้กำลังใจกับบุคคลากรทางการแพทย์ที่ร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสทุกท่าน
อย่าท้อแท้ อย่าหมดหวัง อย่าหยุดฝันถึงชีวิตที่ดีกว่าครับ"