ข้อมูลสถานะของพรรคประชาธิปัตย์ เวลานี้มีตัวเลขสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ที่ 51 ที่นั่ง โดยเพิ่งเสียเก้าอี้ “ส.ส.เขต 3” จ.นครศรีธรรมราช ให้กับ “พรรคพลังประชารัฐ” ไปหมาดๆ จากการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 64 ที่ผ่านมา การเสียที่นั่งส.ส. ไป 1 เก้าอี้รอบนี้ ต้องยอมรับว่า “ไม่ใช่เรื่องเล็ก” เพราะบาดแผลที่เกิดขึ้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริง ซึ่งเต็มไปด้วย “วิกฤติ” ที่สุมอยู่ภายในพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ให้แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น ! เพราะความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งซ่อมส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 สำหรับประชาธิปัตย์ ถือว่าหนักหนาสาหัสไม่น้อย เนื่องจากเป็นการ “แพ้คาบ้าน” แพ้ให้กับพรรคพลังประชารัฐ พรรคการเมืองหน้าใหม่ที่เพิ่งแจ้งเกิดในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 อีกทั้งยังเป็นการ “ล้มแชมป์” โค่นนักการเมืองจาก “ตระกูลเสนพงศ์” ที่บุกเข้าไปปักธงให้กับพรรคพลังประชารัฐเพิ่มได้ส.ส.เข้าสภาผู้แทนราษฎร เป็นคนที่ 122 ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ประกาศรับรอง “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม เมืองนคร ให้เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่า ชัยชนะที่อาญาสิทธิ์ ได้รับยิ่งตอกย้ำ “บารมี” ของ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า “ไม่ธรรมดา” ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เอง ได้แสดงท่าทียอมรับความพ่ายแพ้ เมื่อ “พงษ์สินธุ์ เสนพงศ์” ผู้สมัครของพรรค เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อาญาสิทธิ์ ไปกว่า4พันคะแนน ทั้งที่การลงสนามรอบนี้ เขาเองต้องรับไม้ต่อจาก “เทพไท เสนพงศ์” พี่ชาย ที่ต้องหลุดเก้าอี้ส.ส. อันเป็นผลจากคำพิพากษาของศาล ที่ผ่านมา เพื่อลงมารักษาเก้าอี้ของทั้งตระกูลเสนพงศ์ และรักษาฐานเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อพิจารณาจากผลคะแนนเลือกตั้งซ่อม เขต 3 นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมาปรากฎผลออกมาว่า อาญาสิทธิ์ จากพรรคพลังประชารัฐ 48,701 คะแนน พงษ์สินธุ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ 44,632 คะแนน สราวุฒิ สุวรรณรัตน์ พรรคกล้า 6,216 คะแนนและ ว่าที่ ร.ต. อภิรัฐ รัตนพันธุ์ จากพรรคเสรีรวมไทยได้ 2,302 คะแนน อาญาสิทธิ์ เอาชนะพงษ์สินธุ์ ไปได้กว่า 4 พันคะแนน แม้จะถือว่าไม่มากนัก แต่ต้องยอมรับว่านาทีนี้ เกิดปรากฎการณ์ “โค่นแชมป์” ลงได้แล้ว อีกทั้งยังพบว่า คะแนนจาก ผู้สมัครพรรคกล้า คือ สราวุฒิ ผู้สมัครหน้าใหม่ กลับได้คะแนนไปกว่า 6 พันแต้ม ซึ่ง “กรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรคกล้า ระบุว่าตนเองค่อนข้างพอใจกับผลคะแนนที่ได้รับ เพราะเป็นคะแนนจากผู้สมัครและพรรคการเมือง ที่ไม่มีฐานเสียงเดิมอยู่เลย กลับได้รับการตอบรับจากชาวนครศรีธรรมราช เขต 3 ดังนั้นพรรคจึงมีความหวังไม่น้อยสำหรับการต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง ส.ส.ที่คาดว่าจะมีขึ้นในอีก 2 ปี ข้างหน้า หากรัฐบาลของ “บิ๊กตู่” อยู่ได้จนครบเทอม ! ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์เองยอมรับว่า การเลือกตั้งซ่อมรอบนี้แม้พงษ์สินธุ์ จะแพ้ แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ผู้สมัครของพรรคได้คะแนนเพิ่มกลับเข้ามากว่า 1หมื่นคะแนน โดยนำเอาตัวเลขคะแนนการเลือกตั้ง เมื่อเดือนมีนาคม 2562 โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้เพียง 33,000 คะแนน แต่รอบนี้ได้มาเพิ่ม อย่างไรก็ดี ถามว่า1ที่นั่งที่พรรคพลังประชารัฐ เข้าไปชิงเก้าอี้ถึงในบ้านประชาธิปัตย์เช่นนี้ จะมีผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อพรรคแกนนำรัฐบาลหรือไม่ ก็คงต้องบอกว่า “ไม่มี” แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ สิ่งที่เจ้าถิ่น อย่างประชาธิปัตย์ ต้องพ่ายแพ้ ถือว่าใหญ่หลวงนัก ! โดยเฉพาะเป็นความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในถิ่นของตัวเอง และยังต้องไปลุ้นกันต่ออีกว่าในการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ชุมพรเขต 1 แทน “ชุมพล จุลใส” ที่ต้องหลุดจากเก้าอี้เพราะผลจากคำพิพากษาของศาลในคดีกปปส. รวมถึง เลือกตั้งซ่อมที่อาจมีขึ้น ที่จ.สงขลา แทน “ถาวร เสนเนียม” ซึ่งได้รับผลพวงจากคดีเช่นเดียวกับชุมพล ประชาธิปัตย์ จะยังรักษาเก้าอี้ส.ส.เอาไว้ได้อีกหรือไม่ เพราะงานนี้ “คู่ต่อสู้” ทั้งพรรคพลังประชารัฐเอง ที่แม้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันยังไม่ยอมถอย มองเห็น “จุดอ่อน” ของประชาธิปัตย์ในภาคใต้ ที่จะกลายเป็น “โอกาส” ให้กับ คนนอกมากขึ้น สถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ในยามที่พ่ายแพ้ ย่อมไม่ได้กระทบต่อ “ขวัญกำลังใจ” ของสมาชิกพรรค หรือแม้แต่ผู้สมัครของพรรคเท่านั้น หากแต่ยังจะกลายเป็น “เงื่อนไข”ที่กำลังสั่นคลอนเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค” ของ “จุรินทร์” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง การดำรงอยู่ในฐานะหัวหน้าพรรคคนที่ 8 ของจุรินทร์ มีขึ้นภายหลังจากที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ลาออกตำแหน่ง ภายหลังจากที่อภิสิทธิ์ เป็นผู้นำทัพประชาธิปัตย์ลงสู้ศึกเลือกตั้งส.ส.เมื่อเดือนมี.ค. 2562 และเป็นการเลือกตั้งที่สมาชิกพรรคต้องจดจำ เพราะสถานการณ์พลิกความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง ! ประชาธิปัตย์สูญเสียที่นั่งส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้ อย่างรุนแรงโดยได้เพียง 22 ที่นั่งจากทั้งหมด 50 ที่นั่ง นอกนั้นถูกพรรคอื่นมาแย่งสัดส่วนออกไป ซึ่งถือเป็นประวัติการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ขณะที่ในพื้นที่กทม. พรรคไม่ได้ที่นั่งส.ส.เลยสักที่นั่งเดียว จากบทเรียนในการเลือกตั้ง เมื่อปี 2562 นำมาสู่การเรียกร้องจากคนในพรรคขอให้ผู้บริหารเร่งแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะปฏิรูปหรือยกเครื่องอะไรก็ตามที แต่ต้องกระทำอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นในฐานะพรรคการเมืองที่เก่าแก่ มีความเป็นสถาบัน อาจจะกลายเป็นพรรคที่เล็กลงอย่างน่าใจหาย และแน่นอนว่า ทุกเสียงเรียกร้อง ทุกแรงกดดันได้พุ่งเข้าใส่ “หัวหน้าพรรคลำดับที่ 8” อย่างจุรินทร์ หลังรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนต่อมา ซึ่งอาจจะเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากจุรินทร์ ยังไม่สามารถ “อุดรอยรั่ว” ที่เกิดขึ้นได้ทันก่อนถึงวันเลือกตั้งครั้งหน้ามาถึง อย่างไรก็ดี สำหรับจุรินทร์ นั้นต้องยอมรับว่าวันนี้เผชิญหน้ากับศึกหลายทาง ไม่เพียงเฉพาะ “ศึกใน” จากสมาชิกพรรค ที่เป็นส.ส. แต่ยังหมายรวมไปถึงสมาชิกพรรคทั่วประเทศ ว่าหัวหน้าพรรคจะดำเนินการอย่างไร อย่าลืมว่า เมื่อตัวเลขส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ลดน้อยลง ยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึง ความเข้มแข็ง ความแข็งแกร่งในพื้นที่ภาคใต้ที่เคยมีมายาวนาน ได้ถูกสั่นคลอนลง และยังเป็นพรรคการเมือง ต่างถิ่น เพิ่งแจ้งเกิดในสนามเลือกตั้ง อีกด้วยต่างหาก ก่อนหน้านี้ จุรินทร์เองต้องรับมือกับแรงเสียดทานจากลูกพรรค เมื่อถูกท้าทายชนิด “ซึ่งหน้า”ด้วยการที่มีส.ส.บางกลุ่มไม่ยกมือลงคะแนนไว้วางใจ ในศึกซักฟอก ที่เพิ่งผ่านมา นั่นหมายความว่า แม้แต่ลูกน้อง ก็ยังไม่ไว้ไมตรี ต่อผู้นำพรรคใช่หรือไม่ ผลกระทบจากความพ่ายแพ้ในศึกเมืองคอน รอบนี้ไม่ใช่แค่เพียงการสูญเสียที่นั่งส.ส.ทำให้แต้มลดลงไป อีก 1 เก้าอี้เท่านั้น แต่ยังหมายความว่า ความเชื่อมั่น และศักยภาพของจุรินทร์ ในฐานะหัวหน้าพรรค กำลังถูกตั้งคำถาม ตามมาโดยปริยาย อย่าลืมว่าจากนี้ไปทั้ง ประชาธิปัตย์และจุรินทร์ ยังต้องเจอกับการเมืองสนามเล็ก ที่ไม่ธรรมดาอย่างการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่คาดว่าจะมีขึ้นในราวปลายปีนี้ ซึ่งสนามกทม. แม้จะมีที่นั่งเดียว หากแต่เป็นสังเวียนชี้ขาด “คะแนนนิยม” ให้กับพรรคการเมืองอย่างชัดเจนมากที่สุด และที่สำคัญเหนืออื่นใด ความพ่ายแพ้หากเกิดขึ้นซ้ำซาก ยิ่งจะกลายเป็นการบั่นทอน สั่นคลอนเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค” อย่างรุนแรง !