แม้ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล จะพยายามต่อสู้ มาตลอดเกือบ 2 ปี ที่ถูกย้ายมาประจำทำเนียบรัฐบาลเพื่อที่จะกลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กลับไปสวมเครื่องแบบสีกากีที่เขารักอีกครั้ง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ
จนมาถึงจุดเปลี่ยน...!!
เมื่อเกิด ปัญหาระหว่าง “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. กับ “บิ๊กต่อ” พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
หลังการรื้อฟื้น สอบสวนคดียาไอซ์ 1500 กิโลกรัม ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2562 จนเป็นข่าวใหญ่ และถูกวิพากษ์วิจารณ์สนั่น กรมปทุมวัน และยังมีการปล่อยข่าวโจมตีกันเองทั้งสองฝ่าย มีการขุดเรื่องในชายแดนภาคใต้ ขึ้นมา ปล่อยภาพและข่าวบิดเบือน เกี่ยวกับ พล.ต.อ.สุชาติ ที่ยิ่งทำให้ระดับความขัดแย้งเพิ่มสูงขึ้น เพราะต่างฝ่ายก็ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง อีกทั้งเรื่องนี้ถูกนำเสนอในสื่อใหญ่บางสื่ออย่างต่อเนื่อง
ร้อนถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องเรียก “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มาคุยหลายครั้ง ทั้งที่รัฐสภา และที่ทำเนียบรัฐบาล จนที่สุดมีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้พูดคุยเจรจา กับนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เคลียร์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะเหตุที่ พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ เป็นน้องชายของ พล.อ.อ.สถิตพงษ์ สุขวิมล ราชเลขาธิการฯ จึงมีความพยายามจะปล่อยข่าวเชื่อมโยงให้เกิดความเสียหาย
ก่อนที่ต่อมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ จะตั้งโต๊ะแถลง ผลการสอบสวนคดียาไอซ์ พร้อมยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายตำรวจที่ถูกพาดพิง เป็นอันปิดฉากความขัดแย้ง!
แต่ทว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะกับ พล.ต.อ.สุชาติ และ พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ เท่านั้น แต่ชื่อของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็ถูกพาดพิงด้วยโดยเฉพาะเรื่องเอกสารที่ฝ่ายค้านนำไปใช้อภิปรายฯในสภา แต่พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ชี้แจงกับ ผู้ใหญ่ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเอกสารดังกล่าวไม่ใช่ มีแค่ตนเองคนเดียวเท่านั้น รวมถึง ความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับพล.ต.อ.สุชาติ ก็ถูกจับประเด็น จนที่สุด ผลการเจรจา ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแกนหลัก ยุติลงที่ ให้จบแค่นี้ เลิกแล้วต่อกัน
มีข่าวสะพัดในวงการตำรวจว่าเรื่องให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เป็นผลจากการเคลียร์ปัญหาระหว่างกันด้วย จึงทำให้ต่อมา วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จึงส่งเรื่องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามอนุมัติในการส่ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับ สตช. หลังจากที่ย้ายมาประจำทำเนียบรัฐบาลเกือบ2 ปีในช่วงที่ถูกสอบสวน
แต่เพราะไม่ได้เกิดการสอบสวนหรือลงโทษใดจึงทำให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ทำเรื่องฟ้องร้อง พล.อ.ประยุทธ์ว่าโยกย้ายไม่เป็นธรรม ที่เด้งตนเองจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาอยู่ทำเนียบรัฐบาล ขาดจากการเป็นตำรวจ ทั้งๆที่ ไม่ได้มีความผิด
อีกทั้งเป็นไปตามข้อกฎหมาย ที่เมื่อข้าราชการที่ถูกโยกย้ายมาประจำทำเนียบรัฐบาลแล้วสอบสวนไม่พบความผิด ก็ต้องถูกส่งตัวกลับต้นสังกัดเดิม
แต่ปรากฏว่าในช่วงนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็ยังไม่ได้กลับมาเป็นตำรวจเพราะเส้นทางการกลับสตช. นั้นเต็มไปด้วยขวากหนามและศัตรูในวงการเดียวกัน ที่ยังคงมีอำนาจมีพลัง
วิษณุ จึงยังไม่สามารถที่จะส่งตัวพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับ สตช. ได้ จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้ไปพบ วิษณุที่ทำเนียบรัฐบาลหลายครั้ง เพื่อเร่งเรื่องการกลับมาเป็นตำรวจ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
นอกจากการเดินสายทำบุญและบนบานศาลกล่าวตามวัดต่างๆทั่วประเทศแล้ว
ในระยะหลังๆ มานี้ เป็นที่ร่ำลือกันมากว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีแบ็กอัพดี แบ็กอัพพิเศษ ที่ทำให้มีพลังในการกลับมาเป็นตำรวจครั้งนี้
จนเมื่อมีการเคลียร์ปัญหาศึกสีกากีแล้วก็ได้ไฟเขียว จากนายกฯ ให้กลับ สตช. แม้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะระบุว่าให้ทางสตช.มาสอบสวนต่อก็ตาม แต่แค่นี้ก็ถือเป็นสิ่งที่พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รอคอยมาตลอด
ที่สำคัญคือ หากในที่สุดมีการสรุปอย่างเป็นทางการว่า ไม่พบความผิดก็จะต้องคืนตำแหน่งที่เทียบเท่าเดิมคือผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้พล.ต.ท.สุรเชษฐ์
ก่อนหน้านี้ เคยมีข่าวแพร่สะพัดว่าพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะกลับมาเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. ออกมาเป็นระยะๆ
จึงทำให้ครั้งนี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ อาจที่จะลงตำแหน่งเทียบเท่าก่อนที่ในอนาคตอันไม่ไกลนักก็จะได้นั่งเป็น ผช.ผบ.ตร. ตามที่คาดหวัง
เพราะนอกจากมี แบคอัพพิเศษแล้วเยื่อใยสายสัมพันธ์ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีต่อพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็ไม่เคยเสื่อมคลาย แค่ห่างๆกันไปบ้าง เพราะเกรงว่า พล.อ.ประวิตร จะถูกโจมตี
อีกทั้งเป็นช่วงที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. กลับมาใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร ตามเดิม ช่วงใกล้เกษียณ และเล็งที่จะลงสมัครผู้ว่าฯกทม. โดยให้พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐสนับสนุน ในฐานะผู้สมัครอิสระ
ไม่แค่นั้นหากผลักไสพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ให้ไปเป็นศัตรูก็จะเป็นภัยต่อรัฐบาล เพราะพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีข้อมูลวงในมากมาย
อีกทั้งที่ผ่านมาก็ถือว่าเคยช่วยงานพล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐแบบเงียบๆมาโดยตลอด
จึงทำให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลายเป็นแมวเก้าชีวิต ได้รีเทิร์น กลับมาสวมเครื่องแบบตำรวจอีกครั้ง และคาดหวังที่จะชิงเก้าอี้ในอนาคตกับอายุราชการที่เหลืออยู่อีกเกือบ 10 ปี
ท่ามกลางการจับตามองว่าพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จะถึงฝั่งฝันหรือไม่แม้จะเคลียร์กัน แล้วแต่เรื่องบางเรื่อง ในวงการสีกากี ก็ยังคาใจกัน งานนี้ หากปล่อยให้ยืดเยื้อก็จะสะเทือนรัฐบาลสะเทือนแผงอำนาจพี่น้อง 3 ป.อย่างแน่นอน