หลังพบภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้รับการฉีดวัคซีนบางราย และเสียชีวิต 1 ราย ชี้การชะลอครั้งนี้ไม่ได้แปลว่าวัคซีนไม่ดี แต่เป็นการเลื่อนเพื่อดูสถานการณ์ รอผลพิสูจน์การเสียชีวิต ว่าเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนหรือไม่ ซึ่งภาวะโรคลิ่มเลือด จะพบมากในคนเชื้อชาติแอฟริกันและยุโรป มากกว่าเอเชียถึง 3 เท่า และโรคนี้พบได้อยู่แล้วในยามปกติ 12 มี.ค. 64 นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ศ.เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมแถลงข่าวกรณีเลื่อนการฉีดวัคซีน แอสตราเซนเนก้า โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สืบเนื่องจากมีข่าวเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 ว่าประเทศเดนมาร์กได้ระงับการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา เนื่องจากมีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้รับการฉีดวัคซีนบางราย ทางกระทรวงสาธารณสุขเดนมาร์ก จึงระงับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาชั่วคราว ดังนั้นคณะแพทย์จึงสรุปตรงกันว่าควรชะลอการฉีดวัคซีนโควิดของแอสตร้าเซนเนก้าออกไปก่อน เพื่อทำการตรวจสอบให้แน่ชัดถึงความปลอดภัยในการนำมาฉีดให้กับประชาชนต่อไป ด้าน ศ.นพ.ยง กล่าวว่า คณะแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขชะลอการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซนเนก้าให้กับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เพื่อรอการตรวจสอบหลังจากหลายประเทศในยุโรประงับการใช้วัคซีนของแอสตราเซนเนกาชั่วคราว เพราะมีผู้ป่วยที่ฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือดดำและพบผู้เสียชีวิต 1 รายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ซึ่งวัคซีนแอสตราเซนเนก้าที่ไทยจะฉีดนั้นผลิตจากโรงงานในเอเซียไม่ได้ผลิตที่ยุโรป ซึ่งการชะชอการฉีดออกไป 5-7 วัน หรือ 2 สัปดาห์ไม่ได้เกิดผลกระทบมากนัก เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศเสี่ยงสูง ดังนั้นคณะผู้เชี่ยวชาญจึงมีมติให้ชะลอออกไปก่อนเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก “มีข่าวในหลายประเทศหยุดฉีดชั่วคราว จึงเป็นที่วิตกกังวลกันว่าวัคซีนแอสตราเซเนกาที่จะใช้ในบ้านเราจะส่งผลกระทบหรือไม่ ซึ่งเราไม่ได้บอกว่าวัคซีนไม่ดี แต่ เป็นการเลื่อนเพื่อดูสถานการณ์ รอผลพิสูจน์การเสียชีวิต ว่าเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนหรือไม่ ซึ่งภาวะโรคลิ่มเลือด จะพบมากในคนเชื้อชาติแอฟริกันและยุโรป มากกว่าเอเชีย มากว่าเอเชียถึง 3 เท่า และโรคนี้พบได้อยู่แล้วในยามปกติ” ศ.นพ.ยง กล่าว