ด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมในระยะสั้น หากยังส่งผลระยะยาวผ่านการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมต่างๆ ดังนั้น เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐศาสตร์มหภาค ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการดำรงชีวิตของมนุษย์ ให้เป็นไปตามแรงขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ นายฟิลลิปโปส อาร์กิริดิส ผู้จัดการทั่วไป ฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์สปา ได้สะท้อนกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะต้องปรับไปตามกลุ่มนักท่องเที่ยว และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป โดยอยู่บนพื้นฐานการบริการ บุคลากรที่มีประสิทธิภาพได้อย่างน่าสนใจ ปรับปรุงโรงแรมครั้งใหญ่ ทั้งนี้ นายฟิลลิปโปส อาร์กิริดิส ผู้จัดการทั่วไป ฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์สปา กล่าวว่า จากพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้ธุรกิจต้องเน้นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ รวมถึงความใส่ใจในสุขภาพและอนามัย ซึ่งในส่วนของฮิลตัน หลังจากเริ่มรีโนเวทมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยการปรับปรุงห้องพัก ห้องออกกำลังกาย ห้องสปา คิดส์คลับ ห้องอาหาร และบริเวณโดยรอบ จนมาถึงปี 2562 และ 2563 ระหว่างที่โควิด-19 กำลังระบาด ทำให้ทางโรงแรมถือโอกาสปรับปรุงโรงแรมครั้งใหญ่ โดยมีแผนการจะรีโนเวทสระน้ำ และส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่นิยมมาเป็นครอบครัวใหญ่ได้อย่างมีประสิทธภาพมากขึ้น ซึ่งในระยะข้างหน้า ปัจจัยกำหนดความสำเร็จของธุรกิจโรงแรมไม่เพียงมาจากสถานที่ตั้ง ห้องพัก ราคา และสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้น หากยังมาจากความร่วมมือกับชุมชนและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงความสามารถในการปรับตัว และการบริหารจัดการความเสี่ยง ดังนั้นการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจก่อนที่การเดินทางระหว่างประเทศจะกลับสู่สภาพปกติเพื่อกอบกู้ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมให้กลับมาเติบโตแข็งแกร่งเหมือนเช่นเคย จึงต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมโรงแรมในระยะยาว ปลอดโควิดด้วย คลีน สเตย์ อย่างไรก็ตาม นายฟิลลิปโปส กล่าวว่า ในเรื่องมาตรฐานความสะอาดปลอดภัยจากโควิด-19 ทางแบรนด์ฮิลตันทั่วโลก ได้นำโปรแกรม คลีน สเตย์ มาใช้ เมื่อเปิดบริการใหม่อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2564 จนถึงปัจจุบัน หลังจากปิดบริการชั่วคราวไปตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2563 จนถึงเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งในช่วงเดือนกรกฎาคมมีอัตราการเข้าพักประมาณ 70% ส่วนเดือนสิงหาคมประมาณ 65-70% อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเดือนกันยายน 2563 เป็นช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอม ได้ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวในวันธรรมดาค่อนข้างน้อย แต่จะหนาแน่นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ดังนั้นช่วงเดือน 9 และเดือน 10 จะมีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 15-20% ซึ่งเป็นอัตราโดยรวมของโรงแรมในระดับเดียวกันทั้งอำเภอหัวหิน แต่เมื่อทางรัฐบาลได้จัดโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ได้ช่วยดึงยอดการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่ที่ 60-65% เนื่องจากลูกค้าคนไทยจะนิยมเดินทางในช่วงวีคเอ็นด์ และวันหยุดยาว ปรับทัพรับลูกค้าชาวไทย โดย นายฟิลลิปโปส กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์ทางทางการตลาดของทางโรงแรมที่จะต้องปรับตัว เพื่อรับกับนักท่องเที่ยวไทย ในช่วงที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ว่า ต้องปรับเปลี่ยนตัวสินค้าซึ่งประกอบไปด้วยห้องพัก 295 ห้อง มีห้องอาหาร สถานที่พักผ่อน ภายในโรงแรม ตั้งแต่ ยิม สระว่ายน้ำที่เกี่ยวเนื่องถึงกลุ่มลูกค้า เพราะจากเดิมชาวต่างประเทศจะนิยมมาเป็นคู่รัก แต่ลูกค้าชาวไทยจะมาเป็นครอบครัวใหญ่ ดังนั้นจึงต้องเข้าไปดูถึงการบริหารบุคลากร เพื่อสามารถรองรับคนไทยที่มากันเป็นจำนวนมากให้ลูกค้าได้รับการบริการที่มีคุณภาพเท่าเดิม ขณะที่ราคาที่นำมาเสนอให้กับลูกค้าคนไทยเวลานี้ ถ้าเป็นช่วงเดือนธันวาคม และเดือนมกราคม จะอยู่ที่ประมาณ 8-9 พันบาท เป็นการเจาะกลุ่มระดับกลางถึงบน โดยจะเป็นราคา ที่คนไทยเดินทางมาเที่ยวได้บ่อยๆ โดยภาพรวมระหว่างที่โควิด-19 กำลังระบาดนั้น ผลประกอบการลดลงประมาณ 50% แต่ตั้งเป้าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ไปจนถึงเดือนตุลาคม ของปีนี้นอกจากจะมีตลาดคนไทยแล้ว น่าจะมีนักท่องเที่ยวในกลุ่มเอเชีย เช่น ประเทศ จีน มาเลเซีย และสิงโปร์ ก่อนจะเป็นกลุ่มฝั่งยุโรปที่น่าจะเริ่มเดินทางได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน