เครือข่ายคนริมโขง 7 จังหวัดอีสานเตรียมบุกทำเนียบรัฐบาล ยื่น 7 ข้อเสนอรัฐบาล “ประยุทธ์” แก้ปัญหาผลกระทบจากภาวะโขงผันผวน ที่เกิดจากเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงในจีนและลาว รวมถึง เรียกร้องให้มีระบบติดตามระดับน้ำโขงและเตือนภัย พร้อมมาตรการชดเชยเยียวยา วันนี้ (8 มี.ค. 64) สมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน (คสข.) เปิดเผยว่า สมาชิกเครือข่ายได้ตัดสินใจที่จะส่งตัวแทนจากทั้ง 7 จังหวัดสมาชิก คือ เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ในวันที่ 11 มีนาคม 2564 ที่จะถึงนี้ เพื่อยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหาการได้รับผลกระทบจาก ภาวะระดับน้ำโขงผันผวน ซึ่งดำเนินต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อันเป็นผลสำคัญจากการเปิดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าของเขื่อนบนลำน้ำโขงและแม่น้ำสาขา ในจีนและลาว โดยมีแผนที่จะเดินมาเข้ายื่นข้อเรียกร้องพร้อมกับ 3 กรรมการภายใต้ คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ที่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของเครือข่าย ประกอบด้วย นางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา ประธานสมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน (คสข.) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประมงน้ำจืด ,ศ.ทวนทอง จุฑาเกตุ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒินักวิชาการด้านการประมง, รศ.ธนพร ศรียากูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีความรู้หรือประสบการณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานรัฐที่วางแผนจะไปยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าว คือ นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ “เราอยากเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในลุ่มแม่น้ำโขงที่ได้รับผลกระทบจาก การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์แม่น้ำโขง เนื่องมาจากสาเหตุสำคัญของการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงของจีนและลาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในลุ่มแม่น้ำโขงที่ยังไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที ทั้งด้านอาชีพและประเพณีดั้งเดิม และนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ โดย คสข. รับทราบถึงความพยายามของหน่วยงานที่พยายามแก้ไขปัญหาเชิงระบบนิเวศน์ในช่วงที่ผ่านมา เช่น สำนักงานบริการนโยบายของนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ และกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ คสข. ยังคงเห็นว่า เนื่องจากขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน ต้องผ่านความเห็นชอบของหลายองค์คณะ จึงไม่สามารถรอให้กระบวนการทางภาครัฐโดยปกติทำงานจนเสร็จสิ้นกระบวนการได้อีกต่อไป และเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหานี้จริงจังและจริงใจ” เครือข่ายฯ ระบุในหนังสือเชิญสื่อมวลชนร่วมติดตามทำข่าว ที่เผยแพร่วันนี้ สุดทน .. กระทบหนักจาก“โขงผันผวน” “สภาพปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนริมแม่น้ำโขง เกิดขึ้นหลังจากที่จีนได้สร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงเสร็จแล้ว 10 เขื่อน โดย 6 เขื่อนแรกได้เปิดใช้งานแล้ว สามารถเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำรวมกันถึง 40,787 ล้านลูกบาศก์เมตร (หรือประมาณ 2.3 เท่าของเขื่อนศรีนครินทร์ซึ่งมีความจุมากที่สุดในไทย) และภายหลังจากการเปิดใช้งานตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา พบว่า ระดับน้ำโขงมีความผันผวนรุนแรงมาโดยตลอด นอกจากนี้ ลาวยังมีแผนจะสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงรวมประมาณ 10 เขื่อน โดยสร้างเสร็จแล้ว 2 เขื่อน คือ เขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนดอนสะโฮง โดยเขื่อนไซยะบุรีได้เริ่มเปิดดำเนินการไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 และปัจจุบัน อยู่ระหว่างก่อสร้างเขื่อนอื่นเพิ่มเติม คือ เขื่อนปากลาย เขื่อนปากแบ่ง และเขื่อนหลวงพระบาง ในช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปี 2561 การบริหารจัดการน้ำของเขื่อนทั้งหมดในประเทศจีน ซึ่งถูกควบคุมการระบายน้ำ โดยเฉพาะเขื่อนตัวสุดท้ายคือเขื่อนจิ่งหง ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง การไหลของแม่น้ำโขงที่ผิดธรรมชาติ คุณภาพของน้ำ และระบบนิเวศของแม่น้ำโขงอย่างรุนแรง รวมไปถึงวิถีชีวิตและระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นของชุมชนริมน้ำโขง อาทิ ปี 2551 เกิดน้ำท่วมฉับพลัน แต่ในพื้นที่มีฝนตกไม่มาก ปี 2553 ภาวะแล้งที่สุดในรอบ 60 ปี หลังจากที่เขื่อนจิ่งหงสร้างเสร็จและเริ่มกักเก็บน้ำ ปี 2556 เกิดน้ำท่วมในฤดูหนาว กลางเดือนธันวาคม เนื่องจากเกิดพายุ มรสุม และฝนตกในจีนอย่างหนัก สถานการณ์ของแม่น้ำโขงดังกล่าวที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศและทรัพยากรสัตว์น้ำ ผลผลิตทางการเกษตรหลายชนิดในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขง ตลอดจนวิถีชีวิตของประชาชนแม่น้ำโขงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” แถลงการณ์เครือข่ายกล่าว เปิด 7 ข้อเสนอ. นางอ้อมบุญ ทิพย์สุนา ประธานสมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน เปิดเผยว่า ข้อเรียกร้องทั้ง 7 ข้อ ประกอบด้วย 1. ขอให้เร่งรัดกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการด้านทวิภาคีระหว่างไทยกับลาวระหว่างหน่วยงานด้านพลังงานและหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม เพื่อทำงานเชิงการบูรณาการความร่วมมือและความช่วยเหลือด้านการบริหารจัดการน้ำและการแบ่งปันข้อมูล โดยจัดทำเป็นประเด็นหารือระดับผู้นำระหว่างผู้นำของไทยกับลาว ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๔ และขยายผลสู่การเจรจากับจีน โดยในการเจรจาจะต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง เพื่อประโยชน์ต่อทรัพยากรธรรมชาติสูงสุดของประเทศและรักษาไว้ในชนรุ่นหลังต่อไป 2.ให้รัฐบาลชะลอการรับซื้อไฟฟ้า หรือทำข้อผูกพันในการรับซื้อไฟฟ้าใด ๆ ที่มาจากเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงของ สปป.ลาว ไปก่อน จนกว่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจน เกี่ยวกับความต้องการไฟฟ้าของไทย และความจำเป็นเกี่ยวกับการซื้อพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง โดยในการจัดทำแผนการใช้และซื้อพลังงานไฟฟ้า ไม่ควรพิจารณามิติความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณามิติผลกระทบต่อระบบนิเวศและ ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศโดยรวม และจะต้องมีกระบวนการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียและภาคประชาชนอย่างรอบคอบและกำหนดมาตรการชดเชยเยียวยาชุมชนริมโขงผู้ได้รับผลกระทบแล้วอย่างเร่งด่วน 3.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ต้องเร่งปรับปรุงแก้ไขกฎหมายส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประเทศไทยมีอำนาจในการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการที่มีผลกระทบข้ามพรมแดน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของไทยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนำไปเจรจาต่อรองกับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิผลต่อไป และในภาวะเร่งด่วนในปัจจุบัน ขอให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจทางบริหารสั่งการให้ สผ. จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ข้ามพรมแดน ดังที่รัฐบาลเคยสั่งการให้ สผ. ศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน กรณีขอระเบิดแก่งแม่น้ำโขง 4.ต้องมีการจัดการฐานข้อมูลและจัดทำระบบเตือนภัยการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำอย่างทันท่วงที (Real-time) ที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่จังหวัดเชียงรายถึงอุบลราชธานี โดยประชาชนริมแม่น้ำโขงทุกพื้นที่เข้าถึงได้โดยง่าย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนสามารถรับมือสถานการณ์น้ำที่เปลี่ยนแปลง และใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง 5.ต้องมีการกำหนดมาตรการชดเชยเยียวยากับชุมชนริมโขงผู้ได้รับผลกระทบในด้านการพัฒนาอาชีพรายได้ ทั้งด้านการประมง เกษตร ปศุสัตว์ เพื่อชดเชยอาชีพรายได้ที่เคยพึ่งพาจากแม่น้ำโขง 6.คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องเร่งรัดการกระจายอำนาจด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นรูปธรรม ทั้งด้านการถ่ายโอนภารกิจและการถ่ายโอนงบประมาณ ตลอดจนบุคลากร ตามแผนกระจายอำนาจ ทั้งนี้ การทำงานจะต้องจัดให้มีกระบวนการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสียและภาคประชาชน หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความจำเป็นต้องได้รับภารกิจและหน้าที่เพิ่มขึ้น ขอให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจฯ ใช้อำนาจตามมาตรา ๑๖ และ ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 7.เร่งรัดแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพนิเวศในลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ซึ่งพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ตามมติคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๔ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพนิเวศในลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ เป็นไปตามกลไกของกฎหมาย (พ.ร.ก.การประมงฯ) โดยคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้จะต้องทำงานอย่างมีส่วนร่วมปรึกษาหารือกับทุกภาคส่วน และนำมาจัดทำแผนงาน โครงการ เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ และให้ทุกส่วนราชการนำไปปฏิบัติ “จะมีกำหนดจัดการประชุมหารือร่วมระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบตามข้อเรียกร้องกับ คสข. และภาคประชาชน ในวันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นก็จะมีการเดินแสดงเจตนารมณ์เรียกร้องการแก้ไขปัญหาจากทำเนียบรัฐบาลถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยื่นข้อเรียกร้องและหารืออย่างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการดำเนินงานร่วมกันกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานแรก เนื่องจากเรื่องผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่กระทบกับวิถีชีวิตชาวบ้านโดยตรงและต้องได้มีมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที” นางอ้อมบุญฯ กล่าว.