หลังเกิดคำถามบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับการรักษาโรคเอดส์เป็นแล้วหายได้จริงหรือ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น วันนี้มาไขคำตอบถึงเรื่องดังกล่าว โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า จริงๆ แล้วสถานการณ์ผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือว่า โรคเอดส์นี้ จริงๆ แล้วทั่วโลกดีขึ้น ก็คือในแต่ละประเทศแม้กระทั่งในแอฟริกาเอง ซึ่งบอกว่ามีคนติดเชื่ออยู่เยอะ มีคนเสียชีวิตอยู่เยอะดีขึ้น รวมถึงประเทศไทยด้วย ยกตัวอย่างเช่นในประเทศไทย เวลานี้มีคนไทยที่ติดเชื่อรายใหม่ ลดลงเทียยบกับ 15 ปี 20 ปี ที่แล้ว ที่มีการติดใหม่ปีละ 100,000 -150,000 คน เวลานี้เหลือเพียงประมาณปีละ 7,000 คน สมมติว่าใน 100 คนที่ติดเชื้อใหม่ในแต่ละปีเวลานี้เราเจอเลยครึ่งหนึ่งหรือกว่าครึ่งหน่อยเป็นกลุ่มชายรักชายซึ่งสมัยก่อนนี้คนที่ติดเชื้อส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกสามีที่ไปติดมาจากหญิงบริการหรือภรรยาที่ติดเชื้อจากสามี สามีที่ไปเที่ยวหญิงบริการก็ติดเชื้อขึ้นมาตอนนี้ไม่นะครับหญิงบริการก็ติดเชื้อไม่มากหญิงตั้งครรภ์ก็ติดเชื้อไม่มากอันนี้ก็เป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปคนติดเชื้อรายใหม่เป็นหน้าใหม่เป็นกลุ่มใหม่แล้วก็เป็นอายุน้อยๆ 25 ปี คนไข้ที่รู้ว่าติดเชื้อพอกินยาต้านไวรัสซึ่งเป็นยารักษาโรคเอดส์กินไปจากคนที่มีอาการป่วยภายใน 2-4 อาทิตย์ จะมีร่างกายกลับมาแข็งแรงสามารถทำงานทำการใหม่ได้ขณะเดียวกันรักษาไป 6 เดือนติดต่อกัน กว่าร้อยละ 95 ของคนไข้เหล่านี้จะมีปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดน้อยมากจนตรวจไม่เจอเพราะมีการพิสูจน์เกิดขึ้นว่า คนนที่มีไวรัสในเลือดตรวจไม่เจอหลังจากได้รับการรักษาแล้วติดตามคู่นอนของเขาซึ่งไม่ติดเชื้อติดตามคู่เหล่านี้มา 2 ปี 3 ปียังไม่ปรากฏเลยว่ามีการติดเชื้อเพียงรายเดียวก็ไม่มี การพัฒนาของยามันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามวิวัฒนาการตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ยานั้นดีที่สุดมาตลอดแล้ว การที่ให้ยาต้านไวรัสเอดส์ 3 ตัวรวมกัน ที่เรียกว่าคอกเทลน่ะครับพอกินยาไปเป็นยาต้านไวรัสเชื้อ HIV ก็จะถูกกดไว้ ถูกทำลายไป เชื้อก็น้อยลงไป พอน้อยลงภูมิคุ้มกันก็ดีขึ้นข้อดีของเมืองไทยคือว่าเมืองไทยเรามีองค์การเภสัชกรรมซึ่งผลิตยาด้วยตัวเองยามันก็ถูกถึงเป็นสาเหตุที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 3 ในโลกนี้ ที่ประกาศใครที่ติดเชื้อเราจะเริ่มให้ยาต้านทันทีไม่ต้องรอให้เขาป่วยก่อนไม่ต้องรอให้เขาภูมิต้านทานต่ำก่อนทีนี้ที่เล่าให้ฟังว่าถ้าตรวจเจอไม่ติดเชื้อแล้วคู่ของเขายังไงๆ ก็ไม่ติดเชื้อเรารู้ว่าจะต้องทำอย่างไรทำไมถึงพูดอย่างนั้นเป็นที่ประจักษ์ทั่วโลกแล้วครับว่าการรักษาผู้ที่ติดเชื้อเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดในขณะนี้ซึ่งเขาเรียกว่า Treatment is prevention คือการรักษาเป็นการป้องกันที่ดี ที่ผมเล่าให้ฟังว่า ถ้าตรวจเจอไม่ติดเชื้อแล้ว คู่ของเขายังไงก็ไม่ติดเชื้อ เขาใช้คำว่า U=U ซึ่ง U ตัวแรกก็คือ Undetectable แปลงว่าตรวจไม่เจอ แต่ตรวจไม่เจอไม่ได้แปลว่าจะหายนะไวรัสในเลือดไม่เจอ ไว้รัสในสารคัดหลั่งก็ไม่เจอ ตรวจไม่เจอเท่ากับ U ตัวที่สอง Untransmittable คือไม่สามารถที่จะแพร่เชื้อ HIV ให้กับคนอื่นได้ ซึ่งผมก็มาใช้กับคำไทยว่า ไม่เจอ = ไม่แพร่ ซึ่งตรงนี้มีความหมายมากเลยครับ จะเป็นสโลแกนที่สำคัญมากเลยที่ทำให้สังคม เลิกรังเกียจ เลิกกีดกัน เลิกกลัวผู้ติดเชื้อที่กินยาอย่างดีแล้ว ปลอดภัยมากกว่าคนที่ไม่เคยไปตรวจว่าติดเชื้อหรือเปล่าด้วยซ้ำไป คนที่ติดเชื้อซึ่งกินยาอย่างดีแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนของเขาได้ โดยที่ไม่ต้องใส่ถุงยางอนามัยก็ได้นะ หากเรายังคงไว้ซึ่งรูปแบบอันน่ากลัว ร้ายแรง น่ารังเกียจ ของเอดส์อยู่ หลายคนจึงไม่กล้าไปตรวจเอดส์ หลายคนตรวจเจอแล้วไม่กล้าไปหาหมอ ก็ทำให้การควบคุมการระบาดของเชื้อ HIV ในบ้านเราไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่หากตอนนี้เราบอกว่าเอดส์รักษาได้แล้วนะ จะทำให้เขาชะล่าใจหรือไม่ ก็อาจจะมีนะ ไม่ใช่ไม่มี แต่ถ้าถามกลับว่าใครล่ะ ที่จะเอาชีวิตตัวเอง เข้าไปติดเชื้อ เพราะรู้ว่าตอนนี้รักษาได้แล้ว มีสักกี่คนที่จะยอมสละชีวิตตัวเอง จริงๆ แล้วการที่จะรณรงค์ให้คนยังต้องป้องกันตัวอยู่ ใส่ถุงยางเวลามีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นอยู่ ไม่ได้แปลว่ามี U=U แล้วปล่อยได้ ไม่ต้องใส่ถุงยาง การรณรงค์ต้องให้พอเหมาะ พอดีกัน ปัญหาหลักของการดูแลรักษาในขณะนี้ ก็คือว่า คนไม่รู้ว่าติดเชื้อ ไม่ไปตรวจเลือด พอไม่ไปตรวจ ก็เข้าไม่ถึงการรักษา เพราะฉะนั้นเวลานี้ การรณรงค์เรื่องของการตรวจเลือดสำคัญที่สุด อย่างไรก็ตามแม้ว่ามีการพัฒนายาที่ดีในปัจจุบัน แต่เราก็ควรป้องกันตัวเองจากความเสี่ยง และอย่ากลัวการตรวจเลือดเพื่อป้องกัน จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที