เมื่อปี่กลองปรับครม.บรรเลง ก็ดูเหมือนขุมอำนาจ “3ป.”จะกลับมามีแต้มต่อทางการเมืองอีกครั้ง ยิ่งการขึงสถานการณ์ให้ยาวออกไป โดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกไทม์ไลน์ว่าจะมีความชัดเจนในช่วงปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนด้วยแล้ว ก็เปี่ยมความหมายทางการเมืองยิ่งนัก!!
ด้วยเมื่อทอดเวลาออกไป ก็ยิ่งมีโอกาส “เขย่า” เก้าอี้กันอีกหลายระลอก โดยเฉพาะหากสำรวจตรวจตราปฏิทินการเมืองจะพบว่า เกมที่ลากยาวไปนั้น เป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ ให้คร่อมช่วงเวลาสำคัญ นั่น คือ การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม วาระ 3 ที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 17-18 มีนาคม
ในขณะที่ 2 พรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย ประสานเสียงว่า “ห้ามแตะ” โควต้ารัฐมนตรี และก็เป็นพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ที่ประกาศจุดยืนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทำให้มีกระแสข่าวออกมาหนาหู ถึงแนวคิดการดึงพรรคฝ่ายค้าน อย่างพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมรัฐบาลแทน 2 พรรคการเมือง หากเกิด “อาการเฮี้ยน” !!
เข้าตำรา “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก ่” อ่านไต๋พรรคพลังประชารัฐ ไม่สามารถคาดหวังเสียงโหวตกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญได้จาก 2 พรรค โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่อ้างเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล คือความต้องการแก้ไขรับธรรมนูญ ขณะที่ 2 พรรคก็ดูออกว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่แรก ที่แม้จะเออออห่อหมกให้แก้รัฐธรรมนูญได้
ไม่เช่นนั้น ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ โดยไพบูลย์ นิติตะวัน คงไม่จับมือกับส.ว.สมชาย แสวงการ ไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยดักสกัดไว้ล่วงหน้าว่า
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256สามารถแก้ไขเพื่อนำไปสู่การจัดตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนรัฐธรรมนูญ แบบนั้น รัฐสภามีอำนาจทำได้หรือไม่?”
กระนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้อง 3 ข้อของมวลชนกลุ่มราษฎร ที่ใน 3 ข้อนั้น มีเรื่องของการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญดูเหมือนจะเป็นข้อเรียกร้องข้อเดียวที่เข้าสู่กระบวนการขับเคลื่อนให้มีการแก้ไข จึงกลายเป็น “เผือกร้อน” ในมือของศาลรัฐธรรมนูญ
ประเด็นก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้วส่งหนังสือสอบถามประเด็นข้อกฎหมายไปยังพยานปากเอกทั้ง 4 คน ได้แก่ มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2560อุดม รัฐอมฤต อดีตกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตเลขานุการกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 และอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตเลขานุการกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้ทำความเห็นส่งมาประกอบการพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งความเห็นของทั้ง 4 คน ย่อมมีส่วนสำคัญที่จะ “ชี้เป็น-ชี้ตาย” ร่างรัฐธรรมนูญ ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้!
โดยเฉพาะหากฟังน้ำเสียงของ “อุดม” อดีตกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในการไปชี้แจงกับคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วก็มีน้ำหนักไปทาง ไม่เป็นคุณกับการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
“หากจะแก้รัฐธรรมนูญก็ให้แก้เป็นรายมาตราเท่านั้น ไม่ได้เขียนมาเพื่อให้เป็นประตูนำไปสู่การยกร่าง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
ทั้งนี้ เนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านวาระ 2 แล้ว เมื่อวันที่ 24-25กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กำหนดให้สภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทั้งหมด 200 คน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปจากร่างเดิมของพรรคร่วมรัฐบาล ที่เสนอให้ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง150 คนเท่านั้น
จึงมีรายงานว่า ผู้มีอำนาจในรัฐบาลกังวลว่าจะไม่สามารถควบคุม ส.ส.ร.ได้ โดยเฉพาะกังวลว่าจะเข้าไปแตะหมวด 1บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ทำให้มีการวิเคราะห์กันว่า หากศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาก่อนจะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ในวันที่ 17 มีนาคม ซึ่งโดยเงื่อนเวลาแล้วมีความเป็นไปได้
วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ตอบข้อซักถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลเกี่ยวข้องกับการพิจารณาวาระ 3 หรือไม่ว่า
“ปกติจะไม่เกี่ยวกัน แต่อาจจะเกี่ยวกันได้ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งอะไรที่เกี่ยวข้องกัน เช่น ถ้าศาลสั่งว่าทำได้ก็ไม่มีปัญหา หรือถ้าศาลสั่งว่าทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องประชุมในวาระ3แล้ว”
ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวของจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน พยายามวีโต้ในเรื่องดังกล่าว โดยยื่นความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญรัฐสภามีอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ พร้อมคาดหวังว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาก่อนจะเข้าสู่วาระ 3
อย่างไรก็ตาม แม้หากผ่านศาลรัฐธรรมนูญมาได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะผ่านรัฐสภาหรือไม่ เพราะจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของสองสภาฯ คือ 366 เสียง และ ยังมีเงื่อนไขว่าใน 366 เสียงนั้นต้องเป็นเสียงของส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 คือ 84 เสียงอีก
ตรงนี้เอง ที่ “เผือกร้อน” จะย้ายมาอยู่ในมือ “ส.ว.” !!
ด้วยประเมินกันว่า พรรคร่วมรัฐบาล 2 พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ต้องตัดสินใจในการรักษาฐานเสียง ยึดจุดยืนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทว่าไม่ทันไร ก็มีส.ว.ออกมาประกาศจุดยืนในการไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว
“ผลจากการลงมติที่ผ่านมา ห้ามแก้ไขหมวด 1 และ หมวด 2 คือ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ และห้ามแก้ไขหมวด 2 เกี่ยวกับ พระมหากษัตริย์ แต่อื่นๆ ที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจนั้นมีสิทธิแก้ไขได้ นี่คือสิ่งที่จะกระทบต่อสถาบันอย่างมากๆ ในอนาคต ดังนั้นด่านสุดท้ายคือ การประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติ วาระ 3 จึงสำคัญมาก ผมใคร่ครวญถ่องแท้แล้วว่า จะเป็นหนึ่งคะแนนที่ลงมติไม่ให้ผ่านวาระ 3” วัลลภ ตังคณานุรักษ์ ส.ว. โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว
ขณะที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ออกมาทำนายชะตากรรมของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขมาตรา 256 นี้ “ไม่ตายคาศาลรัฐธรรมนูญ ก็ต้องมาตายคารัฐสภา”
“เรามองกระดานทางการเมืองข้ามไปได้เลยว่า ความหายนะรออยู่ข้างหน้ากันอย่างแน่นอน และท้ายที่สุดนั้นก็จะชี้ว่าให้ไปแก้ไขกันรายมาตรา”
กระนั้น หมากกลการเมืองเรื่องรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจมั่นใจได้ว่า หากหนทางตีบตันดันให้กลับมาแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราแล้ว จะสามารถผ่านด่านรัฐสภาไปได้หรือไม่ วิกฤติรัฐธรรมนูญยังเป็น “ระเบิดเวลา” ที่ต้องจับตา ตราบใดที่ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ยังสร้างดาวกันคนละดวง