สร้างความตระหนก ช็อกโลก อีกคำรบ
สำหรับ ปฏิบัติการของรัฐบาลทหารเมียนมา ที่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ จัดการ “ทุบม็อบ” ที่ “ลงถนน” ต่อต้านรัฐประหาร เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้
เพราะผลาญชีวีประชาชนที่ชุมนุมอย่างสันติ ตามแนวทาง “อารยะขัดขืน” ตามเมืองใหญ่ต่างๆ ไปอย่างน้อย 18 ราย บาดเจ็บอีกหลายสิบราย และมีผู้ถูกจับกุมไปแล้วเกือบ 900 ราย
ด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทาง “ตั๊ดมาดอว์” คือ กองทัพเมียนมา ประยุกต์ดัดแปลงมาใช้รับมือม็อบนั้น สาดทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง กระสุนจริง แถมยังมีระเบิดแสง โจมตีใส่ฝูงชน ซึ่งถือเป็นสถานการณ์รุนแรงครั้งใหญ่ที่สุดละเลงเลือดนองถนนหนักที่สุด นับตั้งแต่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจมาจากรัฐบาลพลเรือน ช็อกโลกกันไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อวันที่ 1 ก.พ.เป็นต้นมา
โดยปฏิบัติการช็อกโลกข้างต้น เหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า เป็นปฏิบัติการที่ถือว่า “ตั๊ดมาดอว์” ของเมียนมา “โนสน โนแคร์” ไม่อนาทรร้อนใจในสายตาของชาวโลก หรือแม้กระทั่งได้ถูกคว่ำบาตร แซงก์ชัน จากมหาอำนาจชาติตะวันตกแต่ประการใด
เหล่านักวิเคราะห์มองว่า ก็เพราะแม่ทัพนายกองของเมียนมา มีที่พึ่งพิงจากชาติมหาอำนาจฟากอื่นๆ มาช่วงสนับสนุนค้ำยัน นั่นเอง
ชาติมหาอำนาจที่ตั๊ดมาดอว์ของเมียนมาพึ่งบารมีอยู่นั้น ก็คือ พญามังกรจีนแผ่นดินใหญ่ และพญาหมีรัสเซีย สองมหาอำนาจคู่ปรับของเหล่ามหาอำนาจตะวันตกไม่ใช่ใครอื่น
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงพญามังกรจีนแผ่นดินใหญ่ ก็เป็นที่รับรู้กันมานานหลายเพลาแล้วว่า ไม่ผิดอะไรกับ “พี่ใหญ่” ของเมียนมา เพราะทั้งเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การสร้างบ้านแปลงเมือง คือ การก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภค อินฟราสตรักเจอร์ทั้งหลาย รวมไปถึงการทหาร เมียนมาล้วนพึ่งพาพญามังกรจีนแผ่นดินใหญ่ แทบจะทั้งนั้น ขณะที่ จีนได้ช่องทางการขยายอิทธิพลด้านต่างๆ ในเมียนมา ตลอดจนนอกชายฝั่งออกทะเลอันดามัน สู่มหาสมุทรอินเดีย เป็นหมุดหมาย รวมถึงได้ทรัพยากรทางธรรมชาติ ที่เมียนมา มีอย่างอุดมสมบูรณ์ เช่น ป่าไม้ พลังงาน ให้ “สูบ” อย่างเต็มอิ่ม เป็นผลประโยชน์ตอบแทน
ทว่า มาในระยะหลังดูเหมือนว่า ทางกองทัพเมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นบิ๊ก ผบ. จะไม่เป็นปลื้มกับพญามังกรจีนแผ่นดินใหญ่สักเท่าไหร่ เนื่องจากพญามังกรที่ถูกยกให้เป็นพี่เบิ้มใหญ่รายนี้ แอบไปให้การสนับสนุนทั้งเงินทุนและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ แก่กลุ่มติดอาวุธของชนกลุ่มน้อย ที่เป็นคู่ปรปักษ์ ไม้เบื่อ ไม้เมา ของทางการเมียนมาด้วย เช่น กองกำลังติดอาวุธติดอาวุธของพวกกะฉิ่น เป็นต้น มาสู้รบกับกองทัพของตั๊ดมาดอว์
ส่งผลให้กองทัพเมียนมา ซึ่งมีบทบาททางการเมืองในประเทศเป็นอย่างสูงด้วยนั้น หันไปสรรค์สร้างความสัมพันธ์กับพญาหมีรัสเซีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจที่ทรงพลานุภาพอีกชาติหนึ่ง
โดยเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับเมียนมาแล้ว ก็เริ่มผูกพันกันมาตั้งแต่เมื่อปี 2001 (พ.ศ. 20544) สมัยที่ “พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย” กุมบังเหียนเป็นผู้นำเมียนมาด้วยซ้ำ ที่ทางการเมียนมาทำ “ข้อตกลงด้านอาวุธและเทคนิค” ฉบับแรกกับรัสเซีย ก่อนพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการทหาร ที่เมียนมา พึ่งพาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ จากรัสเซีย จนมีแนวโน้มว่า จะแทนที่จีนในอนาคต ในขณะที่รัสเซีย ได้ประโยชน์จากการเป็นช่องทางได้เข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ท่าเรือขนส่ง และระบบทางรถไฟ เส้นทางค้าขายของเมียนมาเป็นบำเน็จกำนัลมือ
สรรพาวุธที่เมียนมาได้รับการสนับสนุนจัดซื้อจากรัสเซีย ก็มีทั้ง เครื่องบินขับไล่มิก29 จำนวน 30 ลำ เครื่องบินขับไล่รุ่นซู30 จำนวน 6 ลำ เฮลิคอปเตอร์รุ่นเอ็มไอ24 และเอ็มไอ25 จำนวน 10 ลำ ระบบจรวดต่อต้านอากาศยานเปโชราทูเอ็ม ระบบอาวุธต่อต้านรถถัง ระบบปืนใหญ่ รวมถึงอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนทางการทหาร ตลอดจนระบบเรดาร์อีกจำนวนหนึ่ง
ปรากฏการณ์อาวุธจากรัสเซียหลั่งไหลเข้าสู่เมียนมา แทนที่จีนนั้น ก็มาจากประสิทธิภาพและคุณภาพของรัสเซียดีกว่า แบบทหารเมียนมาเอ่ยปากออกมาเลยว่า อาวุธของจีนมักมีปัญหาใช้การไม่ได้ ขัดข้องกลางลำ สู้อาวุธจากรัสเซีย แถมมิหนำซ้ำ ราคาก็ไม่แพงอีกต่างหาก
ทั้งนี้ การเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย ยังสามารถพ่วงแถมได้อินเดีย มาเป็นพันธมิตรของเมียนมาอีกชาติหนึ่ง ในฐานะที่เป็นชาติลูกค้าอาวุธของรัสเซียเช่นกัน โดยอินเดียซึ่งมีเทคโนโยโลยีเหนือกว่า ได้แสดงบทบาทผู้บริการหลังการขายให้แก่เมียนมาจนใกล้ชิดกันไปโดยปริยาย