วันที่ 2 มี.ค.ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย ขันตี รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1,พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้ายรวบ 2 ผัวเมียฟิลิปปินส์สุดแสบฉายา “Bungal (บุง-งัน) Scammer” หรือ “จอมโจรฟันหลอ” หลอกขายออนไลน์ พบสินค้าเลียนแบบเพียบ หลอกให้โอนแต่ไม่ส่ง เจ้าทุกร้อง ตม.บุกรวบทันควัน พล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่าตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ สืบเนื่องจากเมื่อช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับทราบข้อมูลจากสายลับ เกี่ยวกับข้อมูลของมิจฉาชีพรายหนึ่งซึ่งใช้นามว่า Jeckie จากกลุ่มปิดในเฟสบุ๊คชื่อ SWD KAPAMILYA THAILAND ซึ่งเป็นกลุ่มคอมมิวนิตี้ของชาวฟิลิปปินส์ที่พำนักอาศัย และทำงานอยู่ในประเทศไทย โดยกลุ่มดังกล่าวมีการโพสต์ข้อความและรูปถ่ายเตือนภัยให้กับสมาชิกว่านางสาว Jeckie มีพฤติกรรม หลอกขายสินค้าผ่านทางเฟสบุ๊ค ชื่อ Icon Apparel & Skincare Group โดยทำการไลฟ์สดขายสินค้าประเภท หน้ากากและถุงมืออนามัย เครื่องสำอาง และเสื้อผ้า ซึ่งเชื่อว่ามีการปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในประเทศไทยยี่ห้อดัง เช่น หลุยส์ กุชชี่ ดิออ ชาแนล เป็นต้น ซึ่งผู้เสียหายได้มีการสั่งซื้อสินค้าดังกล่าว แต่ปรากฏว่าหลังจากมีการชำระโอนเงินไป ไม่มีการส่งสินค้าให้ เมื่อมีการติดตามทวงถามก็ได้มีการปิดบัญชีธนาคารที่รับโอน ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถอายัดเงินในบัญชีได้ มีผู้เสียหายในลักษณะเดียวกันนี้มีเป็นจำนวนมาก จนนางสาว Jeckie ได้รับฉายาจากกลุ่มผู้เสียหายว่า Bungal (บุง-งัน) Scammer ซึ่งเป็นภาษา ตากาล็อก มีความหมายว่า จอมโจรฟันหลอ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 จึงได้เริ่มเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว และพฤติกรรมของนางสาว Jeckie เรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 ม.ค.2564 ได้มีการแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หมายเลข 1178 เกี่ยวกับพฤติกรรมในทำนองเดียวกันดังกล่าว โดยแจ้งว่าผู้กระทำความผิดมีชื่อจริงคือนางสาว Jeckie Ruth Kawayori พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1 ทำการลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวและความเชื่อมโยงของทั้งสองเบาะแสนี้ จนกระทั่งพบว่า นางสาว Jeckie มีตัวตนจริง โดยผู้ต้องหาได้มีการเปิดเพจและใช้สถานที่อ้างอิงเพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บสินค้าและได้มีการบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวโฆษณา ไลฟ์สดขายของและสินค้าเลียนแบบ ดังกล่าวจริง แต่มีการย้ายสถานที่พักอาศัยไปในพื้นที่ต่างๆหลายแห่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามตัว จากเจ้าหน้าที่และผู้เสียหาย ผลการลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่านางสาว Jeckie มีที่พักในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 5 แห่ง เจ้าหน้าที่จึงจัดกำลังผัดเปลี่ยนกันเฝ้าสังเกตการณ์ตามสถานที่ดังกล่าวทั้ง 5 แห่ง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 ก.พ.2564 หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงพื้นที่ พบนางสาวJackie เข้าพักอาศัยอยู่ที่ ห้องหมายเลข 71/40 ชั้น 3 เกษมสุวรรณคอนโดมิเนียม 7 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานนิติบุคคลผู้ดูแลอาคาร นำ เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1 ขึ้นตรวจสอบห้องดังกล่าว พบนางสาว Jackie Ruth Kawayori และ นาย Jercon Losa Bata สองสามีภรรยาชาวฟิลิปปินส์พักอาศัยอยู่ พร้อมด้วยของกลางสินค้าเลียนแบบ ประกอบไปด้วยเสื้อผ้าเลียนแบบและเครื่องสำอางจำนวนหลายรายการ ถูกจัดเรียงเพื่อใช้ประกอบการไลฟ์วิดีโอเพื่อโฆษณาในเฟสบุ๊ค ตรวจสอบข้อมูลหนังสือเดินทางเบื้องต้นพบว่านางสาว Jackie กับ นาย Jercon อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (1,825 วัน และ 1,982 วัน) เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีการปลอม หรือเลียนเครื่องหมายการค้าจดทะเบียน” ตรวจยึดของกลางและดำเนินการจับกุมส่ง พงส.สน.คลองตัน ดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป พล.ต.ต.อาชยน กล่าวอีกว่าคดีที่สอง สืบสวน ตม.1 ร่วมกับ ศปชก.สตม.บุกรวบหนุ่มแดนมังกร เปิดบริษัทตุ๋นเหยื่อชาวไทยร่วมลงทุน Crypto Currency ได้เงินปุ๊บปิดบริษัทหนี เจ้าทุกข์เพียบมูลค่าความเสียหายกว่า 5,000,000 บาท” โดยกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมกับ ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ศปชก.สตม.) สืบสวนกรณีกลุ่มผู้ต้องหา โดยมี Mr.GUO QIREN อายุ 32 ปี สัญชาติจีน ร่วมกับพวกมีพฤติการณ์หลอกลวง นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวจีนให้มาร่วมทุน โดยอ้างว่าได้มีการเปิดบริษัท ส่งออกผลไม้ไปยังประเทศจีน โดยมีที่ตั้งบริษัทอยู่ที่ อาคาร KPN พระราม 9 แต่เบื้องหลังผู้ต้องหาได้ใช้บริษัทดังกล่าวบังหน้า เพื่อชักชวนให้กลุ่มนักธุรกิจคนไทยร่วมลงทุนในสกุลเงินดิจิตอล หรือ Crypto Currency ผ่านทางแอพพลิเคชั่น HAC โดยมีการจูงใจ และโฆษณาชวนเชื่อว่ามีผลกำไรที่ดี โดยในห้วงเดือน พ.ย.2563 ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อ โอนเงินไปร่วมลงทุนกับกลุ่มผู้ต้องหา เมื่อเวลาผ่านไป ได้มีความพยายามทวงถามถึงความคืบหน้าของเงินที่ลงทุนไป แต่กลุ่มผู้ต้องหาบ่ายเบี่ยงและปิดบริษัทหนีไป จนไม่สามารถติดต่อได้ จากการสอบสวนเบื้องต้นพบมูลค่าความเสียหายคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 5 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.วังทองหลาง ซึ่งต่อมาศาลแขวงพระนครเหนือได้อนุมัติหมายจับ Mr.GUO QIREN ในข้อหาฉ้อโกง ลงวันที่ 17 ก.พ.2564 เจ้าหน้าที่สืบสวน บก.ตม.1 ร่วมกับ ชุด ศปชก.สตม. ทำการลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวในคดีนี้จนทราบว่าผู้ต้องหาตามหมายจับ Mr.GUO QIREN พักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 25 ซ.สุขุมวิท 62 แยก 8 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่สืบสวน บก.ตม.1 ร่วมกับ ชุด ศปชก.สตม. จึงได้ขออนุมัติหมายค้นจากศาลอาญาพระโขนงประกอบหมายจับ เข้าตรวจค้นบ้านพักดังกล่าวเพื่อจับกุมผู้ต้องหา โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไปถึงได้แสดงหมายค้นและหมายจับให้ Mr.GUO QIREN ดูจนเป็นที่พอใจ จึงเข้าไปตรวจค้นภายในบ้าน พบมีลักษณะตกแต่งภายในเป็นโฮมออฟฟิศ มีอุปกรณ์สำนักงาน และคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมาก โดยในบางห้องมีการตกแต่งเป็นห้องประชุมสัมมนา มีการนำธงชาติหลายๆประเทศมาตั้งเรียงตกแต่งเสริมความน่าเชื่อถือ และในที่เกิดเหตุยังตรวจพบรถยนต์หรูจำนวนหลายคัน และทำการตรวจยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือเอาไว้เป็นหลักฐานเพื่อขยายผลต่อไป จึงได้ทำการจับกุมตัว นำส่งพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป ซึ่งเบื้องต้นพบความเชื่อมโยงกับผู้ร่วมขบวนการทั้งชาวไทยและชาวจีนอีกหลายราย อีกทั้งมีผู้เสียหายมาแสดงตัวเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการรายอื่นๆ ต่อไป.