PPS กางแผนธุรกิจปี 64 มุ่งเน้นยื่นประมูลงานภาครัฐ ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่โครงการแหลมยามู จ.ภูเก็ต ปรับแผนธุรกิจ มองหาพันธมิตรร่วมทุน เพิ่มความสามารถการขาย พร้อมทยอยรับรู้รายได้จากการก่อสร้างวิลล่า 174 ล้านบาทในปีนี้ ผุดบริการ PROPTECH ขยายฐานลูกค้าใหม่ ปัจจุบันBacklog 557 ล้านบาท ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานปี2564ว่า บริษัทเตรียมความพร้อมยื่นเสนองานภาครัฐที่จะออกมาตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะมีโครงการที่ทยอยลงทุนหลายงาน โดยบริษัทหวังจะได้รับส่วนแบ่งจากงานกลุ่มนี้เพิ่มเติม ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนงานภาครัฐเป็น 50% ภาคเอกชน 50% จากปี 63 ที่สัดส่วนงานภาครัฐอยู่ที่ 30% ภาคเอกชน 70% สำหรับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทลักซ์ชัวรี่วิลล่าในที่ดินแหลมยามู จ.ภูเก็ต บริษัทวางแผนธุรกิจใหม่ เพิ่มความสามารถในการขาย ขณะนี้อยู่ระหว่างหาผู้ร่วมทุนพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นศูนย์สุขภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าและกลุ่มนักลงทุน ซึ่งคาดว่าการลงทุนในจังหวัดภูเก็ตยังเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนนานาชาติ โดยปัจจุบันบริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการเป็นที่ปรึกษาการก่อสร้าง และรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากการก่อสร้างวิลล่าผ่านบริษัทย่อย มูลค่า 174 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาบริการเสริม PROPTECH https://proptech.ppsic.co.th เทคโนโลยีสร้างภาพเสมือนจริงที่สามารถเข้าไปชมพื้นที่แบบจำลอง รองรับการออกแบบฟังก์ชั่นการตกแต่ง และสามารถเลือกเฟอร์นิเจอร์หรือปรับแต่งอุปกรณ์ภายในบ้านให้เหมาะสมกับพื้นที่ตามต้องการได้ สามารถใช้เป็น Showroom เสมือนจริง เพื่อเสริมความสามารถทางการขายได้อีกด้วย ซึ่งนอกจากพัฒนาเพื่อรองรับการออกแบบของโครงการลักซ์ชัวรี่วิลล่าในที่ดินแหลมยามู แล้ว PPS ยังมีแผนที่จะขยายบริการให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต “ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง บริษัทจึงต้องปรับกลยุทธ์ขยายขอบเขตการรับงาน พัฒนาบริการเสริม มองหาโอกาสใหม่ๆในการต่อยอดทางธุรกิจ เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันหลังวิกฤต Covid-19 และเพื่อสร้างรายได้ทดแทน อย่างไรก็ตามจากแผนการดำเนินงานในปีนี้ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนการดำเนินงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เชื่อว่าจะทำให้บริษัทสามารถมีรายได้ และจะเห็นความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น” ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานที่อยู่ระหว่างดำเนินการอาทิ โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี การศึกษาเพื่อการออกแบบรถไฟทางคู่ แม่สอด-ตาก-กำแพงเพชร-นครสวรรค์ งานกรมโยธาธิการและผังเมือง Emsphere Block H The Custom House Holiday Inn Express Samui & Holiday Inn Resort Samui โครงการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าในเครือ CPN โครงการค้าปลีกจากกลุ่มโลตัสและโฮมโปร และอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาโครงการก่อสร้างงานภาครัฐอาทิ งานอาคารผู้โดยสาร อาคารสำนักงานสนามบิน งานศูนย์ซ่อมบำรุงสถานีรถไฟ ขณะที่ภาคเอกชนยังคงมีการลงทุนในบางกลุ่มธุรกิจ ซึ่งบริษัทได้มอบหมายให้มีผู้ติดตามงานเฉพาะเพื่อยื่นประมูลงานต่อไป ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ประมาณ 557 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 278 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 409.65 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 466.75 ล้านบาท จำนวน 57.10 ล้านบาท หรือลดลง 12.23% และมีขาดทุนสุทธิ 26.13 ล้านบาท โดยมีกำไรลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.44 ล้านบาท จำนวน 33.57 ล้านบาท หรือลดลง 451.21% ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัว ลดลง เนื่องจากในปี 2562 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีรายได้ที่ได้รับจากโครงการระยะสั้น และในปี 2563 โครงการขนาดใหญ่ที่บริษัทได้รับงานมาในปีก่อนหน้าเข้าสู่ช่วงการส่งมอบงาน อีกทั้งกลุ่มบริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ส่งผลให้แผนการดำเนินงานในบางโครงการของลูกค้าต้องถูกชะลอไปอันเนื่องมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ และในขณะเดียวกันรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในสังคมที่มีต้องมีการปรับวิถีการดำเนินชีวิต ทำให้โครงการต่างๆต้องพิจารณาวางแผนในการกำหนดรูปแบบของโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนไปด้วย “บริษัทมีต้นทุนบริการและค่าใช้จ่ายบริหารลดลง แต่ไม่ได้ลดลงในสัดส่วนที่สัมพันธ์กับรายได้ เนื่องจากบริษัทยังคงต้องใช้บริการบุคลากรจากภายนอกเพื่อทำงานในโครงการภาครัฐ และมีค่าใช้จ่ายจากการขยายพื้นที่สำนักงาน รวมถึงค่าธรรมเนียมอันเนื่องมาจากการออกหุ้นกู้ เช่น ค่าประเมินหลักประกัน และค่าธรรมเนียมในการจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นต้น อีกทั้งในปี 2563 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดปรับตัวลดลง บริษัทได้บันทึกผลขาดทุนจากการไถ่ถอนหุ้นกู้อนุพันธ์และค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 15.77 ล้านบาท”