นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยว่า เซ็นทรัล รีเทล ได้ปรับตัวแบบ V-shape ตั้งแต่ในไตรมาสที่ 3/2563 และไตรมาสที่ 4/2563 เรายังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 51,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้น QoQ +7% และทำกำไร 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น QoQ +27% ทำให้เซ็นทรัล รีเทล สามารถปิดปี 2563 ด้วยรายได้รวม 194,311 ล้านบาท(ลดลง 13%) และทำกำไรสุทธิ 341 ล้านบาท (ลดลง 97%) โดยมียอดขายเติบโต 180% บนช่องทางออมนิแชแนล เป็นสัดส่วนยอดขายเกือบ 10% และพร้อมจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น 0.40 บาทต่อหุ้น เซ็นทรัล รีเทล มั่นใจแผนธุรกิจปี 2564 จะดันยอดขายให้โตขึ้นกว่า 10% โดยนับตั้งแต่ปี 2560 เซ็นทรัล รีเทล ได้ประกาศยุทธศาสตร์หลัก “New Central, New Retail” พร้อมกับจุดมุ่งหมายขององค์กรที่จะเป็น “ศูนย์กลางชีวิตของผู้คน” (Central of Life) สร้างทิศทางในการดำเนินธุรกิจและพัฒนาอีโคซิสเต็มให้เป็น “New Central Retail Lifestyle & Food Platform” ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อนำไปต่อยอดสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้แก่1.ปรับปรุงและขยายรูปแบบร้านใหม่ ในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งกลุ่มแฟชั่น ฟู้ด และฮาร์ดไลน์ ให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เพื่อสร้างประสบการณ์ออมนิแชแนลใหม่ ๆ (Omnichannel Experience) ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง 2.เปิดตัว CENTRAL โมบายล์แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อทุกกลุ่มธุรกิจเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งปรับโครงสร้าง Big Data ครั้งใหญ่ ของฐานลูกค้า Loyalty ที่มีอยู่ในระบบถึง 24 ล้านคน ด้วยการสร้าง Hyper-personalization Offer แพลตฟอร์มใหม่นี้รวบรวมสินค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล มาไว้ในที่เดียว เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มสินค้า โดยขณะนี้มียอดผู้ใช้ บริการแล้วกว่า 2 ล้านราย ภายหลังการเปิดตัวมาได้เพียง 2 เดือน 3.ร่วมมือกับพันธมิตร ติดอาวุธให้ เซ็นทรัล รีเทล มีความแข็งแกร่งทั้งอีโคซิสเต็ม โดยร่วมมือกับ เจดี เซ็นทรัล มาร์เก็ตเพลส (JD Central Marketplace) และ เจดี ดิจิทัล (JD Digital) สร้างบริการการจ่ายเงินแบบดิจิทัลและโซลูชั่นด้านธุรกรรมทางการเงิน (DOLFIN) และกับ แกร็บ ทำควิกคอมเมิร์ซ (Quick Commerce) ให้บริการออนดีมานด์ โดยเริ่มจากบริการการสั่งอาหารและ Tops Grocery ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก และได้ขยายไปยังกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อตอบสนองความต้องการแบบ On-demand ให้ครบทุกกลุ่มสินค้าทั่วประเทศ 4.เข้าซื้อกิจการ เสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มฮาร์ดไลน์ โดยทุ่มงบลงทุนกว่า 12,000 ล้านบาท เพื่อซื้อกิจการ ออฟฟิศเมต, บีทูเอส และเมพ (ร้านอีบุ๊คอันดับหนึ่ง) รวมไปถึงแพลตฟอร์มออมนิแชแนลสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B Omnichannel Platform) ล่าสุดได้เปิดตัวแฟลกชิปสโตร์แห่งใหม่ “บีทูเอส ธิงค์สเปซ” คอนเซ็ปต์สโตร์รูปแบบใหม่ ที่เซ็นทรัล ชิดลม และได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีเกินคาด 5.ไทวัสดุ ภายใต้กลุ่มฮาร์ดไลน์ จากการเริ่มธุรกิจมาเพียง 11 ปี ขณะนี้ได้ขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องของรายได้ และเบอร์หนึ่งของออมนิแชแนลด้านค้าปลีกวัสดุตกแต่งบ้าน (Omnichannel Home Improvement Retailer) ซึ่งปีที่ผ่านมาสามารถทำรายได้รวมเกือบ 28,000 ล้านบาท พร้อมวางแผนเร่งเครื่องขยายเครือข่ายธุรกิจทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เพื่อเพิ่มยอดขายขึ้นอีกเท่าตัวภายใน 3-5 ปี 6.ธุรกิจกลุ่มฟู้ด ในไทยมีการยกระดับและเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ให้เป็นแหล่งรวมอาหาร หรือ Food Destination ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า โดยปรับสาขาลาดพร้าวให้เป็น เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และปรับสาขาเวสต์เกตและศาลายาอย่างต่อเนื่อง ในเวียดนามเน้นธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์ Big C/GO! เปิดตัวรูปแบบธุรกิจและช่องทางที่หลากหลายต่าง ๆ (Multi-format) นำความสำเร็จของ ท็อปส์ มาร์เก็ต ไปเปิดที่เวียดนาม และขยายซูเปอร์มาร์เก็ต go! ไปยังจังหวัดรอง เพื่อให้ครอบคลุมทั้งประเทศเวียดนามภายใน 5 ปี ซึ่งในขณะนี้ เซ็นทรัล รีเทล ได้ครอบคลุมมากกว่า 30 จังหวัดหลักในเวียดนามแล้ว (คิดเป็นสัดส่วน 85% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศเวียดนาม) และจะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะเวียดนามมีศักยภาพของธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ มากกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่า “ปี 2564 ยังเป็นปีที่มีความท้าทาย แต่ เซ็นทรัล รีเทล ยังคงมุ่งมั่นและมีความมั่นใจว่าเราจะสามารถผลักดันธุรกิจให้โตมากกว่า 10% ด้วยงบลงทุน 18,000 ล้านบาทที่ได้วางแผนไว้ เพื่อเสริมสร้าง เซ็นทรัล รีเทล ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตอกย้ำความเป็นผู้นำกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของคนไทย”