“บิ๊กตู่”เมินตอบปรับครม.-ม็อบบุกบ้านพัก ด้าน“เฉลิมชัย”ออกตัวพบ“อนุทิน”คุยเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวปรับครม. “สาธิต” แย้มเป็นไปได้แลกโควต้าภูมิใจไทย “อนุทิน” ฟาดกลุ่มส.ส.ดาวฤกษ์ ย้ำ“ปัญหายังไม่จบ” จี้ผู้ใหญ่ใน “พปชร.”จัดการ ขณะที่“สว.วันชัย”ชี้ดาวพฤหัสขยับแรง การเมืองสะเทือน จับตาปลายมีนาฯ “ปรับใหญ่-นายกฯ ลาออก-ยุบสภาฯ” ส่วน “ซูเปอร์โพล” เผยปชช.เชื่อมือนายกฯ นำชาติพ้นวิกฤตหลังปรับครม. พร้อมให้อิสระ-ไม่กดดัน ที่สถาบันบําราศนราดูร เมื่อวันที่ 28 ก.พ.64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) และการเชิญตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลเข้าหารือ โดยมีสีหน้าไม่พอใจ รวมทั้งกรณีที่กลุ่มมวลชน “REDEM”นัดเดินเท้าจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังบ้านพัก หน้าร.1 รอ. นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวว่าถูกเสนอชื่อจากกลุ่มสามมิตรชิงเก้าอี้รัฐมนตรีที่ว่างลง ว่า เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่สื่อมวลชนคาดเดากันไปเอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของช่วงที่จะมีการปรับครม. ตอนนี้ตนมีความสุขกับการปฏิบัติหน้าที่ส.ส. เป็นตัวแทนของชาวบ้านและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ไม่เคยไปเรียกร้องหรือต่อรองเรื่องตำแหน่งใดๆทั้งสิ้น เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันเองภายในพรรค ซึ่งการพิจารณาตำแหน่งต่างๆนั้น เป็นเรื่องที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และผู้ใหญ่ภายในพรรคจะพิจารณาหาผู้ที่เหมาะสมมากที่สุด ก่อนที่จะนำชื่อส่งให้พล.อ.ประยุทธ์ ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงการปรับ ครม. ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า นายกฯ ยังไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรอย่างเป็นทางการ ส่วนกรณีที่ไปพบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข นั้น ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการปรับครม.แต่เป็นการไปพูดคุยส่วนตัว และปกติก็คุยกันตลอด เมื่อถามว่า โควตาพรรคประชาธิปัตย์ยังเหมือนเดิมหรือไม่ นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ต้องรอดูแต่ก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวจะแลกเก้าอี้รมช.คมนาคมกับพรรคภูมิใจไทยนั้น อย่าเพิ่งไปคาดเดา รอให้นายกฯ ส่งสัญญาณให้ชัดเจนก่อน จากนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงจะมีการประชุมกัน ส่วน นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข กล่าวยืนยันว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องการปรับครม. ต้องรอสัญญาณจากนายกฯก่อน ส่วนการแลกโควตา อาจจะเกิดขึ้นได้ ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ในฐานหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการปรับครม.หลังพล.อ.ประยุทธ์ระบุให้พรรคร่วมรัฐบาลหารือกันว่า “ไม่มี ไม่ต้องคุย เข้าใจกันอยู่แล้ว เพราะทุกอย่างอยู่ที่สปีริตการทำงานร่วมกัน อย่าไปกังวลในสิ่งที่ไม่ควรกังวล” เมื่อถามถึงปัญหาแคลงใจเรื่องการงดออกเสียงให้รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยของ ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จบหรือยัง นายอนุทิน กล่าวว่า “ยังไม่จบเชื่อว่าเดี๋ยวผู้ใหญ่ก็คุยกัน ไม่ต้องเอ่ยไม่ต้องไปโวยวายอะไร สมมุติว่าส.ส.พรรคภูมิใจไทยทำอะไรไม่ถูกต้องขัดขืนมติพรรค ไม่เชื่อฟัง ผมก็ต้องจัดการ ในวิธีการของผม ส่วนหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ต้องมีวิธีจัดการ เราต้องไม่ก้าวก่ายกัน แต่ที่สำคัญเราต้องอธิบายต่อกันและกันได้” เมื่อถามว่า คำอธิบายของกลุ่มส.ส.ดาวฤกษ์ที่ออกมาชี้แจง ฟังไม่ขึ้นใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “ฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าสิ่งที่ทำถูกก็หมายความว่าส.ส.ที่เหลือของพรรคพลังประชารัฐโหวตผิดหมดหรือ คนร้อยกว่าคนโหวตแบบนี้ แล้วเจ็ดคนโหวตอีกอย่าง กลายเป็นร้อยคนผิด เจ็ดคนถูกก็ให้มันรู้ไป” เมื่อถามว่า การที่ นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ออกมาแถลงข่าวและยกมือไหว้ขอโทษ ยังไม่เพียงพอใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า “ไม่มีๆ มีแต่ผมยกมือไหว้นายอนุชา และนายอนุชาไม่ใช่คนทำผิด เหมือนน้องมาตีหัวผม แล้วอีกคนมาขอโทษมันเกี่ยวอะไรกัน” เมื่อถามย้ำว่า หากกลุ่มดาวฤกษ์มาขอโทษ นายอนุทินกล่าวว่า “A little too late”(เรื่องมันสายไปแล้ว) เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า “too late” หรือทุเรศ นายอนุทิน กล่าวว่า ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เมื่อถามว่า จะยื่นคำขาดว่ากลุ่มดาวฤกษ์ต้องลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ นายอนุทิน ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าวพร้อมสายศรีษะ และระบุว่าบ้านใครบ้านมัน ด้าน นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า “เมื่อดาวพฤหัส ขยับตัวแรงสั่นสะ เทือนทางการเมืองก็เกิดขึ้น ระยะนี้เป็นการขยับตัวของดาวพฤหัส เราจะเห็นแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองเกิดขึ้นในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ มักจะมีแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นทางการเมืองเสมอ เพราะรัฐธรรม นูญเป็นเรื่องของอำนาจ เป็นเรื่องของการได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง คนได้เปรียบ ก็ไม่อยากแก้ คนเสียเปรียบก็อยากแก้ เป็นอย่างนี้ทุกยุค ทุกสมัย ต่างฝ่ายต่างก็อ้างเหตุผล แต่ทั้งหมด เป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจทั้งนั้น โดยเอารัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้างสนับสนุน ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ไม่ต่างกับยุคก่อนๆ ตัวละครอาจเปลี่ยนข้างเปลี่ยนมุม เปลี่ยนจุดยืน แต่ยังเล่นกันบทเดิม และทุกครั้งที่มีการแก้รัฐธรรมนูญ ความเร่าร้อนและความรุนแรง ก็มักจะเกิดขึ้น ซึ่งมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง สังเกตให้ดีจะเริ่มเห็นเค้าลางและได้กลิ่นตั้งแต่วันพิจารณารัฐธรรมนูญในวาระ 2 ที่ผ่านมา ยิ่งศาลอาญาได้มีคำพิพากษาในวันนั้นด้วย กลิ่นแห่งการเปลี่ยนแปลงยิ่งแรงกระพือโหมมากขึ้น ช่างเหมาะกับการที่ดาวพฤหัสจะขยับตัวแยก จากดาวเสาร์ เข้าสู่ราศีกุมภ์ สร้างความสั่นสะเทือนของดวงดาว ฟาดหัวฟาดหางทั้งในสภาและนอกสภา เป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้ามาในช่วงนี้ถึงปลายเดือนมี.ค. อาจจะเกิดเหตุปรับ ครม.ใหญ่ ก็ได้ หรือปรับพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ หรือนายกฯลาออก เปลี่ยนคนใหม่ก็ได้ หรือขยับทางไหนไม่ได้อาจจะยุบสภาก็ได้ ทำให้ พรบ.ตำรวจและการแก้รัฐธรรมนูญพลอยตกไปด้วย ถ้าเลือกตั้งใหม่ก็ใช้กติกาเดิม นั่นคือแนวทางของการเปลี่ยนแปลงซึ่งดวงดาวชี้ชัดไม่ได้ แต่บอกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงใหญ่แน่ ซึ่งถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ทาง การเมืองในขณะนี้แล้วก็น่าจะจริง ศาลอาญาพิพากษาตูมไปแล้ว อาจตามมาด้วยศาลรัฐธรรมนูญอีกเปรี้ยงหนึ่ง ถ้าไม่เปรี้ยงปร้างก็อาจจะมาเป็นระเบิดอีกตูมใหญ่ในรัฐสภาวาระ 3 วันที่ 16 มีนาคมก็ได้ ระเบิดแต่ละลูกสร้างแรงสั่นสะเทือนได้ทั้งนั้น พิจารณาจากดวงดาวและเค้าลางที่เห็นต่อหน้าแล้วบอกได้เลยว่ามีเรื่องแห่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่แบบคาดไม่ถึงแน่ แต่เขาว่าเปลี่ยนแล้วจะดี... ตามดวงดาวว่าอย่างนั้น ถ้าไม่เปลี่ยนมันอึมครึมครับ” ขณะที่ สำนักวิจัยซูเปอร์โพล(SUPER POLL) เปิดเผยผลการสำรวจภาคสนาม เรื่อง “เชื่อมั่นนายกฯ ปรับ ครม.ใหม่” โดยพบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.3 ระบุ คนไทยทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน แต่ต่างกันที่อุดมการณ์และแนวทางวิธีถึงเป้าหมาย ในขณะที่ร้อยละ 97.2 ระบุ เชื่อมั่นต่อกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง มีเป้าหมายเดียวกัน คือ ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ติดหล่ม วิกฤตซ้ำซากและร้อยละ 95.2 ระบุ การพาคนลงถนนนำไปสู่ความขัดแย้ง ความแตกแยกของคนในชาติ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ร้อยละ 96.4 เสียความเชื่อมั่น ศรัทธาเสื่อมเมื่อเห็นพรรคการเมืองที่เคลื่อนไหวแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามร้อยละ 97.9 ระบุควรให้อิสระไม่กดดัน พล.อ.ประ ยุทธ์ ปรับครม.ขณะที่ ร้อยละ 63.7 ยังคงเชื่อมั่นต่อ พล.อ.ประยุทธ์หลังปรับครม. จะพาประเทศพ้นวิกฤติ ส่วน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น“นิด้าโพล”สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)เปิดเผยผลสำรวจของประชาชนเรื่อง“ลงโทษผู้โหวต สวนมติพรรคอย่างไรดี”ทำการสำรวจระหว่างวันที่24–26 ก.พ.64จากประชาชนที่มีอายุ18ปีขึ้นไป จำนวน1,310หน่วยตัวอย่างเกี่ยวกับการลงโทษส.ส.ที่โหวตไม่เป็นไปตามมติพรรค(เช่นโหวตสวนทาง งดออกเสียงไม่ปรากฏการลงคะแนนเป็นต้น)จากการสำรวจพบว่าเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการลงโทษส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่โหวตไม่เป็นไปตามมติพรรคร่วมรัฐบาลพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ52.67ระบุว่าไม่ควรมีการลงโทษเพราะเป็นสิทธิของแต่ละบุคคลในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างไม่จำเป็นต้องตามมติของพรรคเสมอไปรองลงมาร้อยละ45.80ระบุว่าควรมีการลงโทษเพราะไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเองส.ส.มีหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชนต้องออกเสียงหรือทำตามมติพรรคและร้อยละ1.53ระบุว่าเฉยๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ เมื่อถามถึง รูปแบบการลงโทษจากผู้ที่ระบุว่าควรมีการลงโทษพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ34.34ระบุว่าไม่ส่งลงสมัครส.ส.ในนามพรรค ในการเลือกตั้งครั้งหน้ารองลงมาร้อยละ26.00ระบุว่าห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกับพรรคหรือรัฐบาลอีกต่อไปร้อยละ17.33 ระบุว่าปลดออกจากทุกตำแหน่งในพรรคและรัฐบาลร้อยละ16.33ระบุว่าไล่ออกจากพรรคร้อยละ4.67ระบุว่าบีบให้ลาออกจากพรรค และร้อยละ1.33ระบุอื่นๆได้แก่ว่ากล่าวตักเตือน เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการลงโทษส.ส.พรรคฝ่ายค้านที่โหวตไม่เป็นไปตามมติพรรคฝ่ายค้านพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ53.82ระบุว่าไม่ควรมีการลงโทษเพราะต้องเคารพความคิดเห็นของแต่ละบุคคลสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันสามารถมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้รองลงมาร้อยละ43.82ระบุว่าควรมีการลงโทษเพราะเป็นการไม่ปฏิบัติตามมติพรรคและไม่ยุติธรรมต่อพรรคที่ตนเองสังกัดเปรียบเสมือนเป็นงูเห่าของพรรคและร้อยละ2.36ระบุว่าเฉยๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ เมื่อถามถึงรูปแบบการลงโทษจากผู้ที่ระบุว่าควรมีการลงโทษพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ33.45ระบุว่าไม่ส่งลงสมัครส.ส.ในนามพรรค ในการเลือกตั้งครั้งหน้ารองลงมาร้อยละ27.70ระบุว่าห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกับพรรคอีกต่อไปร้อยละ17.07ระบุว่าไล่ออกจากพรรคร้อยละ15.85ระบุว่าปลดออกจากทุกตำแหน่งในพรรคร้อยละ4.53ระบุว่าบีบให้ลาออกจากพรรคและร้อยละ1.40ระบุว่าอื่นๆได้แก่ว่ากล่าวตักเตือน ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนใหญ่ร้อยละ49.24ระบุว่า ควรมีการปรับครม.เพียงแค่บางตำแหน่ง รองลงมาร้อยละ33.66ระบุว่าควรมีการปรับครม.ครั้งใหญ่ร้อยละ11.68ระบุว่า ไม่ควร มีการปรับครม.และร้อยละ5.42ระบุว่าเฉยๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ