คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ถึงแม้ว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” จะเชี่ยวชาญทางด้านการต่อสู้คดีความที่ทั้งเป็นจำเลยและโจทก์กว่า 4,000 คดีในรอบ 30 ปีก็ตาม แต่ทว่าคดีอาญาที่กำลังจะตามมาเกี่ยวกับการฟ้องร้องของ นครแมนฮัตตัน ณ รัฐนิวยอร์ก เรื่องคดโกงภาษีนั้น ปรากฎว่า ผู้พิพากษาศาลสูงสุดสามท่านที่ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้แต่งตั้ง โดยทั้งสามท่านได้ร่วมมือกับผู้พิพากษาศาลสูงสุดอีกหกท่านเมื่อวันจันทร์ที่เพิ่งผ่านมานี้ เพื่ออนุญาตให้อัยการแห่งนครแมนฮัตตันสามารถตรวจสอบหลักฐานการเสียภาษีในรอบ 8 ปีที่ผ่านมาของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งคงจะกลายเป็นมหากาพย์ซีรี่ย์ม้วนยาว ดังนั้นฉบับนี้ผมขออนุญาตเขียนผลงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในรอบ 30 วันของการก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว
ไม่ง่ายเลยที่”ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” จะสร้างผลงานดีๆ สร้างความเชื่อถือ และสามารถรับความไว้วางใจจากคนอเมริกันได้เป็นอย่างดี ในขณะที่สหรัฐฯกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตไวรัสโควิด-19 ที่แสนร้ายแรง โดยได้คร่าชีวิตคนอเมริกันไปกว่า 5 แสนคนแล้ว
อีกทั้งขณะนี้สหรัฐฯก็กำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำแบบสุดสุด มีคนว่างงานมากกว่าสิบล้านคน ความแตกแยกเกิดขึ้นอย่างมากมายในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงการเมืองที่พรรคการเมืองสองพรรคยักษ์ใหญ่อันได้แก่ พรรคเดโมแครตที่คุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าแค่เพียง 9 ที่นั่ง (222 ต่อ 213) และมีเสียงในวุฒิสภาเท่าๆกันกับพรรครีพับลิกันคือ 50 ต่อ 50 เสียง แต่ถือว่าพรรคเดโมแครตได้เปรียบนิดหน่อย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เกิดมีญัตติเท่ากัน “รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส” ซึ่งต้องรับหน้าที่ประธานการประชุมจะเป็นฝ่ายชี้ขาด!!!
ส่วนข้อเสนองบประมาณของประธานาธิบดีโจ ไบเดน 1.9 ล้านล้านเหรียญ เพื่อที่จะนำไปเยียวยาแก้ปัญหาวิกฤติอันร้ายแรงของสหรัฐฯ แต่กลับถูกพรรครีพับลิกันต่อต้านกีดกัน โดยขอให้ตัดงบออกเหลือแค่เพียง 618 พันล้านเหรียญ และขณะที่มีการเจรจากันอยู่นั้น นักการเมืองของพรรครีพับลิกันได้สร้างเงื่อนไขต่างๆนาๆ เพื่อต้องการประวิงเวลาให้ร่างงบประมาณผ่านช้าลง โดยมิได้สนใจและแยแสถึงความเดือดร้อนของประชากรชาวอเมริกัน ต้องการเพียงแค่ทำให้นโยบายของประธานาธิบดีไบเดนล้มเหลว ทั้งนี้การที่พรรครีพับลิกันกระทำการณ์เยี่ยงนี้ น่าจะคาดหวังต้องการที่จะมีโอกาสได้คุมเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนฯและวุฒิสภาอีกครั้งคราหนึ่งในการเลือกตั้งกลางสมัยปี 2022
แต่ทว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็หาได้สนได้แคร์ไม่ กลับแสดงเจตนารมณ์ที่จะยืนหยัดไม่ยอมลดงบประมาณลงตามเงื่อนไขที่พรรครีพับลิกันตั้งเอาไว้ โดยเขาชี้ว่า “แม้ว่าจะต้องใช้งบเป็นเงินก้อนโตเพียงใด ก็ต้องทุ่ม และจะต้องทุ่มแบบไม่อั้นอีกด้วย เพื่อเร่งกำจัดโรคโควิด19 และเร่งเยียวยาความทุกข์ร้อนของประชาชนให้หมดไป” โดยเขาเอาเรื่องนี้เข้าไปเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ และเขายังอ้างอิงข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณะสุขเป็นที่ตั้งอีกด้วย!!!
อนึ่งประธานาธิบดีไบเดน ยังพยายามเอาประสบการณ์ที่เขาสั่งสมเรื่อยมาจากการที่เคยแก้ไขปัญหาวิกฤติในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดียุคของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามาโดยเมื่อปี 2014 ก็ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคอีโบลา และครั้งนั้นเขายังได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่ร้ายแรงสุดๆเช่นเดียวกัน ที่ครั้งนั้นรับช่วงต่อมาจากรัฐบาลยุคอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช
ทั้งนี้ผมต้องขออนุญาตแยกแยะเกี่ยวกับงบประมาณของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในวงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญ ที่มีความหนาของหน้ากระดาษถึง 600 หน้าพอสังเขปดังนี้
ประธานาธิบดีไบเดนให้ความสำคัญด้านการบริหารจัดการโรคโควิด-19 โดยดำริต้องการที่จะให้คนอเมริกันทุกๆคนได้รับการฉีดวัคซีน ต้องการที่จะทุ่มงบประมาณ 160 พันล้านเหรียญ เพื่อเพิ่มบุคลากรเข้าไปรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้ในวงเงิน 350 พันล้านเหรียญ ต้องการช่วยพยุงธุรกิจขนาดย่อมให้กลับมาฟื้นตัวได้ ต้องการช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่น 350 พันล้านเหรียญ เพื่อมิให้พนักงานต้องถูกปลดออกจากงาน ต้องการช่วยเหลือทางด้านการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยให้มีโอกาสเปิดเรียนได้ ต้องการช่วยเหลือเยียวยาผู้มีรายได้ต่ำคนละ 1,400 เหรียญ ช่วยเหลือชุมชนทั่วประเทศ 440 พันล้านเหรียญเป็นต้น
นอกเหนือจากนั้นแล้วประธานาธิบดีไบเดน ยังต้องการที่จะสร้างไมตรีจิตกับนานาประเทศ และดำริที่จะวางแผนร่วมมือช่วยเหลือกับนานาประเทศในการกำจัดโรคโควิด อีก 40 พ้นล้านเหรียญด้วยเช่นกัน!!!
และเพื่อสร้างความเข้าใจต่อคนอเมริกันในวงกว้างเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดีไบเดน และ รองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้พบปะกับแกนนำของพรรครีพับลิกันสิบคน ณ ทำเนียบขาว เพื่อต้องการหาแนวร่วมให้เสียงสนับสนุน
และเพื่อสร้างความเข้าใจกับชุมชนและกลุ่มกรรมกร ซึ่งเป็นฐานการเมืองดั้งเดิมของพรรคเดโมแครต ประธานาธิบดีไบเดนได้พบกับตัวแทนภาคธุรกิจ และสมาพันธ์กรรมกรหลายๆแห่ง โดยเขาชี้แจงต่อกลุ่มสมาพันธ์เหล่านี้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนเก่าแก่ของตน
ส่วนรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ได้ไปออกรายการตามโทรทัศน์ช่องต่างๆเพื่อทำความเข้าใจในวงกว้าง
ทั้งนี้งบประมาณในวงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญจำต้องผ่านสภาคองเกรสภายในวันที่ 14 มีนาคมนี้ เพราะงบที่เคยช่วยเหลือเยียวยาต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจะหมดอายุลงในวันที่ 14 มีนาคม 2021 ที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตามยังถือว่าประธานาธิบดีไบเดน โชคดีที่มีทีมงานที่มีมันสมองระดับหัวกะทิรุ่นใหม่ไฟแรง ซึ่งได้รับการรับรองจากวุฒิสภาเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือโปรชั้นเซียนขั้นเทพทางด้านเศรษฐกิจอันได้แก่ รัฐมนตรีคลังเจเนต เยลเลน สุภาพสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีฯคลังที่ได้รับการรับรองจากวุฒิสมาชิกอย่างท่วมท้นคือ 84 ต่อ 15 ที่เธอทำงานคลุกคลีกับระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)มาอย่างยาวนาน
อนึ่งกลยุทธ์เดินหมากด้านนโยบายกู้ชาติของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นับว่าอลังการงานสร้างแต่แน่นอนว่าเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามอย่างมากมายใหญ่หลวงที่ไม่เหมือนกับวิกฤตครั้งใดๆในประวัติศาสตร์สหรัฐฯเลย โดยประธานาธิบดีไบเดนหวังจะลอกเลียนแบบนโยบายฟื้นฟูของ “ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์” ผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่คราวนั้นสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสุดๆ ทั้งนี้ประธานาธิบดีไบเดนและทีมงานต่างเร่งรุดศึกษา เพื่อวางแผนสร้างโครงการและนโยบายต่างๆตามแบบอย่างประธานาธิบดีรูสเวลท์อย่างถี่ถ้วน
แต่เมื่อวิเคราะห์แล้วจะเห็นได้ว่า ในยุคสมัยของ ประธานาธิบดีรูสเวลท์มีข้อได้เปรียบสูงมากกว่า สืบเนื่องมาจากขณะนั้นพรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมากในสภาคองเกรสอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งตรงข้ามกับประธานาธิบดีไบเดนในขณะนี้ ที่มีเสียงข้างมากเพียงน้อยนิด เพราะในสภาผู้แทนฯพรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากเพียง 222 ต่อ 213 ที่นั่งและวุฒิสภามีเสียงเท่าๆกัน 50 ต่อ 50 ที่นั่ง
อีกทั้งการที่นักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันกีดกันไม่ต้องการปล่อยงบ 1.9 ล้านล้านเหรียญให้ผ่านอย่างง่ายๆนั้น ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีไบเดนจำต้องงัดไม้เด็ดผ่านงบประมาณทั้ง 1.9 ล้านล้านเหรีญ ตามสิทธิที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากอยู่ โดยใช้แผนทำนองเดียวกันกับยุคสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามาเมื่อปี 2009 ที่ผ่านงบฉุกเฉิน 800 พันล้านเหรียญให้แล้วเสร็จภายใน 24 วันอย่างที่ไม่ต้องอาศัยเสียงของพรรครีพับลิกันเลยแม้แต่เสียงเดียว!!!
และจากการหยั่งเสียงของสำนักโพลต่างๆล่าสุดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักโพลชื่อดังเกรดเอได้แก่ “Quinnipiac University Poll” รายงานว่า คนอเมริกันร่วม 69% สนับสนุนนโยบายของประธานาธิบดีไบเดน ส่วนผู้ที่นิยมชมชอบสังกัดอยู่กับพรรครีพับลิกันต่อต้านนโยบายของประธานาธิบดีไบเดนมี 37% ส่วนเทศมนตรีและผู้ว่าการในรัฐต่างๆส่วนใหญ่เห็นพ้องด้วย
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการเดินหน้าเร่งผ่านงบประมาณ 1.9 ล้านล้านเหรียญของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั้น นับว่าดำเนินการอย่างถูกต้องตามครรลอง เพราะเขาได้พยายามขอความร่วมมือจากนักการเมืองของพรรครีพับลิกันแล้ว แต่กลับถูกคัดค้านต่อต้านปฏิเสธ แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อประชาชนคนอเมริกันส่วนใหญ่เห็นดีด้วยแล้วประธานาธิบดีไบเดนก็ไม่ควรจะถูกตำหนิ และควรจะได้รับเสียงชื่นชมจากการที่เขาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเพื่อมนุษยชาติ ฉะนั้นจึงไม่ถือว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีพฤติกรรมเป็นเผด็จการเหมือนกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์แต่อย่างใดละครับ