เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วย นายอำเภอกุยบุรี กำนันตำบลหาดขาม ผู้ใหญ่บ้านรวมไทย ผู้ใหญ่บ้านย่านซื่อ ผู้ใหญ่บ้านยางชุม หอการค้า สภาอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ อ.กุยบุรี เพื่อสำรวจหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการก่อสร้างสถานีวิจัยพันธุ์พืช ทั้งนี้จากที่ จ.ประจวบฯมีการปลูกมะพร้าว-สับปะรดมากที่สุดในประเทศ จนเป็นเมืองหลวงของมะพร้าว-สับปะรด แต่ยังขาดสถานีวิจัยพันธุ์พืชโดยเฉพาะ ต้องไปอาศัยสถานีวิจัยพันธุ์พืชของ จ.ชุมพร และเพชรบุรีแทนในการตรวจออกใบรับรองต่างๆ
นายชาตรี กล่าวว่ากลุ่มเกษตรกรชาวประจวบฯได้ร้องขอทางจังหวัดให้มีสถานีวิจัยพันธุ์พืชในพื้นที่แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ ในครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีของชาวประจวบ ที่กรมวิชาการเกษตรจะมาตั้งสถานีวิจัยพันธุ์พืชในพื้นที่ จ.ประจวบฯแต่ปัญหาไม่สามารถหาที่ดินได้ จึงได้ขอความอนุเคราะห์ทางจังหวัดในการหาที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานีวิจัยพันธุ์พืช จากการลงพื้นที่ร่วมกันพบว่ามีพื้นที่ป่าไม้ในบ้านรวมไทยที่กรมป่าไม้กันเอาไว้ 220 ไร่ติดกับสถานีอาหารสัตว์ของกรมปศุสัตว์ มีความเหมาะสมกับการตั้งสถานีวิจัยพันธุ์พืช แต่มีชาวบ้านปลูกต้นหม่อมประมาณ 100 กว่าไร่อยู่ ทางผู้ใหญ่บ้านรวมไทยขอนัดประชุมพูดคุยกับชาวบ้าน ถ้าชาวบ้านไม่ขัดข้องก็ต้องหาที่ให้ชาวบ้านไปปลูกหม่อนในที่ใหม่แทน
ขณะเดียวกัน มีผู้เสนอให้ใช้ที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ ที่เป็นที่เปิดให้ราษฎรเช่าแต่ไม่ค่อยมีคนเช่า เป็นที่ที่มีความเหมาะสมอีกแห่ง โดยมีเนื้อที่ประมาณ 400 กว่าไร่ พื้นที่ติดกับถนนราดยาง มีไฟฟ้าแรงสูงเข้าถึง มีความอุดมสมบูรณ์มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำกุยบุรี จึงได้ไปดูพื้นที่ร่วมกัน ซึ่งเท่ากับหาที่ดิน 2 แปลงให้กรมวิชาการเกษตรเลือกว่าจะสร้างที่ไหน ถ้าเลือกบ้านรวมไทยและผู้ใหญ่บ้านรวมไทยสามารถเคลียร์กับชาวบ้านที่ปลูกหม่อนได้ก็จะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเคลียร์กับชาวบ้านไม่ได้ ที่ดินราชพัสดุของกรมธนารักษ์ก็มีความเหมาะสมดี ซึ่งจะเร่งหารือกับสำนักงานธนารักษ์จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งในการขอใช้พื้นที่เพื่อสร้างศูนย์วิจัยพันธุ์พืชต่อไป” นายชาตรี กล่าว.