ยกให้เป็นวิกฤติภัยหนาวครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของเมือง “ลุงแซม” คือ นิกเนมของประเทศ “สหรัฐอเมริกา” อันน่าสะพรึง เพราะคร่าชีวิตประชาชนพลเมืองไปแล้วกว่า 70 ราย
สำหรับ สภาพอากาศที่หนาวจัดระดับอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง คือ ติดลบหลายสิบองศาสเซลเซียส ในช่วงฤดูหนาวของประเทศสหรัฐฯ ในปีนี้
ภายหลังจากผลพวงของ “พายุหิมะ” พัดกระหน่ำ ผนวกกับมี “พายุทอร์นาโด” แถมยังมีปรากฏการณ์ “ลมวนขั้วโลก” เข้ามาผสมโรง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ส่งผลให้ฤดูหนาวของปีนี้ มีสภาพอากาศที่หนาวจัด วัดอุณหภูมิติดลบนับสิบองศาเซลเซียส โดยบางพื้นที่ เช่น รัฐโอคลาโฮมา รัฐเทกซัส อุณหภูมิติดลบถึง 25 องศาเซลเซียส พร้อมๆ กับหิมะที่ถล่มถาโถมตกลงมาจนขาวโพลนไปทั่วบริเวณ ซึ่งพื้นที่หลายแห่งหิมะที่ตกลงมาท่วมสูงหลายสิบเซนติเมตร หรือเกือบๆ ครึ่งเมตรก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รัฐเทกซัส” ที่ถือว่า ในปีนี้ เผชิญกับภัยหนาวครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งก็ว่าได้
โดยมีรายงานว่า ทางการรัฐเทกซัส ต้องออกประกาศแจ้งเตือนเมื่อช่วงก่อนหน้าว่า ให้พลเมืองของรัฐ จำนวนกว่า 100 ล้านคน ให้เตรียมตัวรับมือกับสภาพอากาศที่หนาวจัด ก่อนที่ชาวเทกซัส ต้องผจญกับภัยหนาวอันสุดยะเยือกเป็นประวัติการณ์ในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ หิมะตกลงมาอย่างหนักแล้ว บรรดาแหล่งน้ำต่างๆ ต้องกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง ไม่เว้นกระทั่งน้ำประปา ตามท่อส่งต่างๆ ทั่วรัฐ ก็กลายเป็น “น้ำประปาแข็ง” ใช้การไม่ได้ จนประชาชนต้องนำหิมะไปต้มให้ละลายจนเดือด เพื่อนำไปบริโภคแทน ซึ่งทางการได้ออกคำเตือนไว้ด้วยเช่นกันเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซึ่งมีรายงานว่า เกี่ยวกับปัญหาเรื่องน้ำประปานี้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนถึง 14 ล้านคนด้วยกัน
นอกจากประปาใช้ไม่ได้แล้ว กระแสไฟฟ้าในรัฐเทกซัส ก็ดับขัดข้อง พลเมืองชาวรัฐ ต้องอยู่ในสภาพไม่มีไฟฟ้าใช้ ส่งผลให้กิจกรรมต่างๆ ประดามี ทั้งของประชาชน และธุรกิจภาคส่วนทั้งหลาย ต้องกลายเป็นอัมพาต มิอาจขยับเขยื้อนอะไรอย่างใดได้
ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมพลังงานปิโตรเลียม ที่รัฐเทกซัสแห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของโลก ถึงขั้นยกให้เป็นหนึ่งในดัชนี้ชี้วัด นั่นคือ “ดัชนีเวสต์เทกซัส” หรือ “เวสต์เทกซัสอินเด็กซ์” ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ดัชนีดับเบิลยูทีไอ” เป็นต้น
สร้างความเสียหายให้รัฐแห่งนี้อย่างย่อยยับ ถึงขนาด “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ” ต้องประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินภัยพิบัติครั้งใหญ่” เพื่อกรุยทางที่จะนำไปสู่มาตรการช่วยเหลือเป็นประการต่างๆ
รายงานข่าวเผยว่า นอกจากรัฐเทกซัสแล้ว ก็ยังมีรัฐอื่นๆ ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่อยู่ใน “สถานการณ์ฉุกเฉินภัยพิบัติครั้งใหญ่” ด้วยเช่นกัน ได้แก่ รัฐโอกลาโฮมา และรัฐลุยเซียนา เนื่องจากเผชิญหน้ากับภัยหนาวอันสุดยะเยือกครั้งประวัติการณ์ หิมะตกหนักจนขาวโพลน และมีขนาดหนาเป็นฟุตๆ เหมือนกัน
ภายหลังจากการประกาศพื้นที่หลายรัฐ ให้อยู่ “สถานการณ์ฉุกเฉินภัยพิบัติครั้งใหญ่” แล้ว ก็จะเปิดทาง นำไปสู่กระบวนการความช่วยเหลืออื่นๆ ต่อไป
เริ่มจากการบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัยหนาว
การนำเสนองบประมาณช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง ลงไปสู่ทางการท้องถิ่นได้มากขึ้น
การสร้างสถานพักพิงชั่วคราว สำหรับผู้อพยพออกจากบ้านเรือนเพื่อหนีภัยหนาว รวมทั้งพวกไร้บ้าน ได้อาศัยในช่วงสภาพอากาศที่หนาวจัดอย่างเวลานี้
การช่วยเหลือเรื่องการซ่อมแซมบ้านเรือน ที่ได้รับความเสียหายจากภัยหนาวที่มาเยือนในเวลานี้ เช่น จากพายุหิมะ หรือหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก ท่วมสูง จนหลังคาบ้านไม่สามารถรองรับได้ เป็นต้น
การช่วยเหลือด้านการเงินชดเชยในทรัพย์สินที่ไม่มีการประกันภัยที่ได้รับการเสียหายจากภัยหนาว
รวมไปถึงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นอาทิ
ทั้งนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า ประธานาธิบดีไบเดน มีแผนการที่เดินทางเยือนพื้นที่ประสบภัยหนาวในครั้งนี้ด้วย คือ รัฐเทกซัส ในเร็วๆ นี้ แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินว่า การที่เขาจะเดินทางไปนั้น จะกระทบ หรือเป็นภาระเพิ่มเติมให้กับทางเจ้าหน้าที่ที่กำลังช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาวดังกล่าวด้วยหรือไม่
โดยเบื้องต้นทางประธานาธิบดีไบเดน ได้ติดต่อพูดคุยกับทางนายกเทศมนตรีของเมืองต่างๆ ในรัฐเทกซัส เช่นจากเมืองฮุสตัน เมืองออสติน และเมืองดัลลัส ไปบ้างแล้ว ถึงการช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางที่จะมีไปให้ รวมถึงการเปิดทางให้ทางการท้องถิ่นเหล่านั้น สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรของรัฐบาลกลางที่ทางประธานาธิบดีไบเดนให้คำมั่นไว้
รายงานข่าวเผยว่า ภัยหนาวที่กำลังคุกคามสหรัฐฯ ในปีนี้ ยังส่งผลต่อแผนการรับมือกับวิกฤติการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของทางการอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “โครงการแจกจ่ายวัคซีนให้แก่ประชาชน” ซึ่งปรากฏว่า ศูนย์ฉีดวัคซีนกว่า 2,000 แห่ง ทั่วประเทศต้องปิดให้บริการ เพราะพายุหิมะพัดกระหน่ำ จนส่งผลให้การแจกจ่ายวัคซีนจำนวน 6 ล้านโดส ในพื้นที่ 50 รัฐ ต้องระงับ ชะลอฉีดให้แก่ประชาชนไปชั่วคราว ไม่นับโรงงานผลิตวัคซีนเผชิญกับอุปสรรค ไม่สามารถลำเลียงขนส่งวัคซีนไปตามศูนย์ต่างๆ ได้ตามกำหนด