เมื่อวันที่ 24 ก.พ. นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ว่า เมื่อตนเห็นว่าในที่ประชุมไม่มีการพิจารณาถึงประเด็นการโหวตแหมติพรรคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ตนจึงเดินออกจากห้องประชุมไปก่อนตามที่สื่อเสนอข่าว แต่นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาให้ข่าว ซึ่งขัดแย้งกันในสาระสำคัญแต่ตนไม่ถือเป็นสาระสำคัญ เพราะนายราเมศอายุยังน้อย ยังไม่มีประสบการณ์ในสภา ตนอยากสอนว่า หากจะเล่นการเมือง ต้องยึดถือของประเทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก และต้องแยกแยะให้ออกว่า ระหว่างรัฐธรรมนูญกับมติพรรค สิ่งใดสำคัญกว่ากัน เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 114 ระบุว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงําใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์”
นายอันวาร์กล่าวว่า ส่วนที่นายราเมศยอมรับ ว่าการที่รัฐธรรมนูญให้เอกสิทธิ์กับส.ส. นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ทุกคนต้องยึดถือมติ และข้อบังคับพรรค เพื่อให้พรรคสามารถดำรงอยู่ได้นั้น การระบุเช่นนี้ตนคิดว่าเป็นการทำให้ภาพพจน์พรรคเสียหาย แสดงว่าพรรคยอมทำทุกอย่างแม้ว่าจะฝืนความรู้สึกของประชาชน ก็เพียงเพื่อประโยชน์ในการอยู่รอดของพรรคเท่านั้นหรือ จึงขอให้นายราเมศกลับไปคิด ในฐานะนักกฎหมาย ซึ่งควรจะมีหลักมีเกณฑ์ เพราะถ้ามติพรรค และข้อบังคับพรรคมีความสำคัญมากกว่ารัฐธรรมนูญ แล้วเราจะอยู่กันได้อย่างไร
“ขอเตือนว่าทีหลังหากจะพูดอะไร ขอให้ใช้สมองคิดในหลายๆแง่ หลายๆมุม เพราะประชาชนเค้าไม่โง่”
นายอันวาร์กล่าวว่า ส่วนที่นายราเมศย้อนถามว่าหากตนได้เป็นหัวหน้าพรรค แล้วสมาชิกทำแบบนั้นบ้าง ตนจะรู้สึกอย่างไรนั้น เรื่องนี้ก็เช่นกัน ก่อนที่นายราเมศจะได้ใช้สมองคิดหรือไม่ว่าจะให้ตนตอบเพื่อให้มีปัญหากับหัวหน้าพรรคอย่างนั้นหรือ จึงอยากให้กลับไปอ่านทบทวนคำวินิจฉัยของตนหลายๆรอบ ก็จะเข้าใจเองว่าตนไม่เคยตำหนิหัวหน้าพรรคเลย ส่วนที่นายราเมศระบุว่าจะมีการตั้งกรรมการสอบส.ส. ทั้ง 3 คน เพื่อให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน และขู่ตนว่าเรื่องนี้ไม่จบแน่ ตนรอคำสั่งจากพรรคที่จะให้ชี้แจง และหากตนชี้แจงในสิ่งที่ไม่เคยพูดผ่านสื่อแล้วเกิดความเสียหายต่อบุคคลในพรรค แล้วจะรับกันได้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นนายราเมศก็เป็นหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบ เพราะรู้ดีในสิ่งที่ตนเคยยื่นชี้แจงไปแล้ว