รมว.ยธ.”สมศักดิ์”เป็นสักขีพยานรับมอบอุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์สารเสพติดชนิดพกพาจาก UNODC เผยเครื่องใหม่ช่วยให้ผลตรวจแม่นยำขึ้น เสริมแกร่งการตรวจสารเคมีและสารตั้งต้น
วันที่ 24 ก.พ. 64 ที่ ศูนย์วิทยาศาสตร์ยาเสพติด สถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด สำนักงาน ปปส. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมร่วมเป็นสักขีพยานในการรับมอบอุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์สารเสพติดและสารเคมีโดยใช้เทคนิค Raman Spectroscopy ชนิดพกพา จาก สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการทดสอบสารต้องสงสัยในภาคสนาม ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) และนายเจเรมี ดักลาส ผู้แทนจาก UNODCประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก เข้าร่วมงา
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การส่งมอบอุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์สารเสพติดและสารเคมีชนิดพกพาในครั้งนี้ เป็นไปตามแผน ที่จะเพิ่มศักยภาพในการตอบโต้ผู้ผลิต ยาเสพติดต่อที่ได้มีการพัฒนาการผลิตยาเสพติด โดยเปลี่ยนแปลงจากยาเสพติดจากพืช มาเป็นยาเสพติดสังเคราะห์ โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) นำเอาเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมาช่วยในการทดสอบสารเสพติดและสารเคมี ซึ่งอุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์ดังกล่าวใช้เทคนิค Raman Spectroscopy ชนิดพกพา ทาง UNODC ได้มอบให้สำนักงาน ป.ป.ส. จำนวน 2 เครื่อง เพื่อใช้ประโยชน์ในการเสริมประสิทธิภาพการสกัดกั้นยาเสพติดที่ลักลอบลำเลียงเข้ามาตามแนวชายแดน และเพื่อใช้ในการตรวจสารเสพติดและสารเคมีที่ลักลอบนำเข้ามาทาง ท่าอากาศยาน ท่าเรือ และพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวเพิ่มเติมถึงศักยภาพของอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่า อุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์สารเสพติดและสารเคมีใช้เทคนิค Raman Spectroscopy ชนิดพกพา ที่ได้รับมอบจาก UNODC เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ในภาคสนามระดับเบื้องต้น สามารถใช้ตรวจสอบยาเสพติด สารตั้งต้น เคมีภัณฑ์ และสาร Cutting agent (สารที่เติมเข้าไปในยาเสพติด แต่ไม่ใช่สารเสพติด เช่น แป้ง สารส้ม สารแต่งกลิ่น สี เป็นต้น) ตรวจวิเคราะห์สารได้ทั้งรูปแบบผง ผลึก เม็ด แคปซูล และของเหลว นอกจากนี้ ยังสามารถจำแนกสารชนิดต่างๆ โดยใช้วิธีการยิงแสงเลเซอร์และวัดค่ากระเจิงของแสง เฉพาะในกรณีที่ภาชนะหรือวัสดุหุ้มโปร่งใสหรือโปร่งแสงมีความหนาไม่เกิน 2 มิลลิเมตร โดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับของกลางโดยตรง ลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และรักษาหลักฐานไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทำให้ผลการตรวจพิสูจน์ยาเสพติดในเบื้องต้นจากการใช้อุปกรณ์นี้ มีความแม่นยำกว่าการตรวจพิสูจน์ด้วยวิธี Color test แบบปัจจุบัน และมีความรวดเร็วไม่เกิน 30 วินาที อย่างไรก็ตาม หลังจากตรวจเบื้องต้นในภาคสนามแล้ว จะต้องนำสารต้องสงสัยไปตรวจอย่างละเอียดในห้องปฏิบัติการ (Laboratory) อีกครั้ง
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า “ขอขอบคุณ UNODC อีกครั้งสำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าในการแก้ปัญหายาเสพติดนั้น การบูรณาการความร่วมมือกันของหน่วยงานภาคีระดับประเทศและระดับภูมิภาคเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันแล้ว ยังได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และส่งเสริมการทำงานให้กันอีกด้วย ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. และ UNODC หลังจากนี้ จะพัฒนาความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับประเทศ และระดับภูมิภาค โดยจะสนับสนุนการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ สนับสนุนอุปกรณ์ที่จำเป็น เน้นความร่วมมือในหลายมิติ อาทิ การควบคุมชายแดนเพื่อต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดข้ามชาติ การพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยใช้สกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซี และเว็บลับ การลักลอบค้ายาเสพติดทางทะเล การศึกษาวิจัยสถานการณ์ยาเสพติดในภูมิภาค ตลอดจนการป้องกันการใช้ยาเสพติดในกลุ่มเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป เป็นต้น”
นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทนจาก UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก กล่าวขอบคุณและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในความร่วมมือกับสำนักงาน ป.ป.ส. และพร้อมจะทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต เพื่อป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติการต่อไป