บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (JUBILE) ผู้นำธุรกิจเครื่องประดับเพชรอันดับหนึ่งของเมืองไทย ภายใต้แบรนด์ “Jubilee Diamond” ประกาศความสำเร็จในการปรับกลยุทธ์ธุรกิจก้าวข้ามสถานการณ์โควิด-19 จนสามารถสร้างปรากฎการณ์ผลประกอบการในปี 2563 ด้วยรายได้รวม 1,704.3 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 266.8 ล้านบาท เป็นผลมาจากการปรับตัวเร็วและการฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ประกอบกับได้รับอานิสงส์ช้อปดีมีคืน พร้อมทั้งโปรโมชั่นโดนใจและความสำเร็จจากงานอีเว้นท์ใหญ่ประจำปีของ JUBILE ส่งผลให้รายได้ในครึ่งปีหลังเติบโตขึ้นร้อยละ 16.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของก่อน โดยสำหรับปี 2564 JUBILE ประกาศเดินหน้ารุกตลาดต่อเนื่องผ่านช่องทางการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อเป้าหมายสู่การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
น.ส.อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)(JUBILE) เปิดเผยว่าปี 2563 นับเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจค้าปลีกที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เกินคาดเดา ทั้งการปิดศูนย์การค้า การล็อกดาวน์ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกันช่วงเวลาดังกล่าวก็ถือเป็นบททดสอบและการพิสูจน์ความพร้อมและความแข็งแกร่งของธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่ง JUBILE ในฐานะที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกเครื่องประดับเพชรในประเทศไทยมากว่า 92 ปี
โดยเราได้ใช้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจ ความเข้าใจในสภาวะตลาด และความพร้อมขององค์กรและทีมงานในการปรับกลยุทธ์ธุรกิจด้วยความรวดเร็ว จนนำไปสู่การขยายช่องทางการขายเพชรออนไลน์เต็มรูปแบบทั้งทางอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซจนถือเป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จและกลยุทธ์สำคัญในการสร้างยอดขายในช่วงวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างโดดเด่น รวมถึงการกระตุ้นตลาดและการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ ๆ ผ่านการจัดกิจกรรมการตลาด อีเว้นท์และโปรโมชั่นโดนใจมากมายทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ ส่งผลให้ในปี 2563 JUBILE สามารถทำรายได้รวมกว่า 1,704.3 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 เพียงร้อยละ 5.7 โดยมีกำไรสุทธิ 266.8 ล้านบาท และยังคงเติบโตจากปี 2562 ร้อยละ 1.7
“ในปี 2563 ที่ผ่านมา แม้จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่ก็นับว่าเป็นปีแห่งโอกาสของ JUBILE ที่เราได้ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบเพื่อเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายเครื่องประดับเพชรยูบิลลี่ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นและสร้างโอกาสทางการตลาดกับลูกค้าที่คุ้นเคยกับการซื้อสินค้าออนไลน์ได้เข้าถึงเครื่องประดับเพชรแท้มาตรฐานยูบิลลี่ผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างสะดวกง่ายดาย โดยสิ่งที่น่าสนใจนอกจากสัดส่วนยอดขายจากช่องทางออนไลน์ที่เติบโตขึ้นมากในปี 2563 การขยายช่องทางจำหน่ายสู่ออนไลน์ยังสามารถสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย”
ทั้งนี้นอกจากกลยุทธ์การปรับตัวสู่ออนไลน์จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ JUBILE สามารถพลิกเกมธุรกิจจนสามารถเติบโตสวนกระแสโควิด-19 ได้แล้วนั้น อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มาจากความเชี่ยวชาญในตลาดค้าปลีกเพชร รวมถึงฐานลูกค้าประจำและสมาชิกที่มีจำนวนมากกว่า 200,000 ราย จึงทำให้ทันทีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายในไตรมาส 3 ปี 2563 JUBILE สามารถเดินหน้าจัดกิจกรรมและปล่อยแคมเปญการตลาดเพื่อกระตุ้นตลาดได้ทันที ได้แก่ งาน Jubilee Mid Year Grand Sale งาน Jubilee 91st Thank you Party เพื่อตอบแทนกลุ่มลูกค้าสมาชิก The Sparkling Club และทิ้งท้ายในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้จัดงาน The Legendary of CARAT & JUBILEE’S The Best Diamond Gift Festival 2020 อีกหนึ่งอีเว้นท์ใหญ่ประจำปี 2563
ขณะเดียวกันยังรวมถึงกิจกรรมการตลาดในรูปแบบ Seasonal Marketing เพื่อให้การซื้อเพชรสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเทศกาลและทุกช่วงเวลา ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สามารถกระตุ้นยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค อาทิ การสร้างสรรค์คอลเล็กชันเครื่องประดับเพชรสุดพิเศษ Sweet Sonata ในช่วงวาเลนไทน์,คอลเล็กชัน Prosperous Fortune ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และคอลเล็กชัน Mon Amour ในเทศกาลวันแม่ รวมถึงโปรโมชั่นผ่อน 0% นานสูงสุด 12 เดือน โดยร่วมมือกับบัตรเครดิตชั้นนำมากมาย
โดยในปี 2563 JUBILE มีรายได้รวม 1,704.3 ล้านบาท ลดลง 102.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้รวม 1,806.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 266.8 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 262.2 ล้านบาท และเฉพาะในไตรมาส 4 ของปี 2563 สามารถสร้างปรากฏการณ์ยอดขายโตสูงสุดและสูงกว่าภาพรวมตลาดด้วยรายได้สูงถึง 567.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ที่มีรายได้ 512.1 ล้านบาท เป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ทำให้ในไตรมาส 4 ปี 2563 มีกำไรสุทธิ 88.0 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2562
น.ส.อัญรัตน์ กล่าวอีกว่า ปรากฏการณ์ความสำเร็จของ JUBILE ในไตรมาส 4 ปี 2563 ที่มีแรงสนับสนุนจากหลายปัจจัย ทั้งโครงการช้อปดีมีคืนของภาครัฐที่สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท โดยมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ซื้อเพชรและนำใบกำกับภาษีไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษี เนื่องจากไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศประกอบกับการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายและโปรโมชั่นที่ทำร่วมกับบัตรเครดิตชั้นนำและศูนย์การค้าชั้นนำในช่วงเทศกาลปีใหม่ จึงยิ่งช่วยกระตุ้นให้มีการซื้อเพชรเป็นของขวัญและซื้อเพชรเพื่อการลงทุนมากขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันในช่วงปลายปี JUBILE ได้จัดงานใหญ่ประจำปี The Legendary of CARAT & JUBILEE’s The Best Diamond Gift Festival 2020 เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนและนักสะสมเพชร ซึ่งถือเป็นงานประจำปีที่โชว์ศักยภาพของ JUBILE ในการรวบรวมเพชรแท้เม็ดใหญ่คุณภาพสูงจากเมืองแอนด์เวิร์ป ประเทศเบลเยี่ยม แหล่งเพชรที่ดีที่สุดในโลกมาจัดแสดงและจำหน่ายได้มากที่สุด ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีและสร้างยอดขายส่งท้ายปีได้อย่างโดดเด่น
อย่างไรก็ตามแม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาซึ่งกระทบกับอารมณ์การจับจ่ายของลูกค้าอยู่บ้าง แต่ไม่ถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากนัก เนื่องจากการดำเนินธุรกิจทั้งในห้างสรรพสินค้าและออนไลน์ยังคงเปิดดำเนินการได้ตามปกติ ไม่ได้มีการล็อคดาวน์เหมือนตอนต้นปี ขณะที่ผู้คนไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวหรือไปต่างประเทศ จึงทำให้มีบางส่วนหันมาให้ความสนใจซื้อทองและเพชรเพื่อออมหรือการลงทุนแทน
สำหรับแนวโน้มปี 2564 นางสาวอัญรัตน์ มองว่า แม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญในชีวิตผู้คนและทุกอุตสาหกรรม แต่การที่ JUBILE ได้ก้าวข้ามผ่านความท้าทายในปีที่ผ่านมา โดยการปรับตัวตอบรับกับทุกสถานการณ์ในเชิงรุก ถือเป็นบทพิสูจน์ของ JUBILE ในฐานะแบรนด์เพชรไทยที่เชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน พร้อมมุ่งมั่นเดินหน้าธุรกิจด้วยการเป็นมิตรกับทุกคน เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงเพชรแท้แบรนด์ไทย คุณภาพดีระดับสากล และเชื่อถือได้ โดยในปี 2564 JUBILE จะยังคงเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์ธุรกิจทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และยังคงเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมการจำหน่าย การบริการหลังการขายให้กับลูกค้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าการเติบโตในปี 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10