เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 22 ก.พ. 64 พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ นาคมรกต สารวัตรสอบสวน สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายดักซุ่มยิงนายฆอยรินทร์ บินสะมะแอล อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นนายก อบต.บาโงสะโต อ.ระแงะ อยู่บ้านเลขที่ 13 ม.6 ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เหตุเกิดบริเวณสามแยกบาโย บ้านบละแต ม.4 ต.บาโงสะโต จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ปิยภัทร ทองพันเลิศกุล ผกก.สภ.ระแงะ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่งรุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
พบปลอกกระสุนปืน เอ็ม.16 ตกอยู่บนถนน จำนวน 7 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ส่วนนายฆอยรินทร์ ได้ขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิค สีดำ ทะเบียน กข 8304 เบตง กลับไปที่บ้านพัก เจ้าหน้าที่จึงได้เดินทางไปตรวจสอบรถยนต์เก๋งที่บ้านพักของนายฆอยรินทร์ พบถูกกระสุนปืน เอ็ม.16 ของคนร้ายที่บริเวณฝากระโปรงหลัง 1 นัด และที่บริเวณใต้ประตูด้านคนขับอีก 1 นัด รวม 2 นัด เจ้าหน้าที่จึงได้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนนายฆอยรินทร์ นายก อบต.บาโงสะโต ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้ขับรถยนต์เก๋งไปร่วมดื่มน้ำชากับชาวบ้านที่ร้านน้ำชาในหมู่บ้าน ซึ่งทำเป็นกิจวัตรประจำวัน หลังจากร่วมนั่งดื่มน้ำชากับชาวบ้านแล้วเสร็จ ตนได้ขับรถยนต์เพื่อไปประชุม ณ ที่ว่าการอำเภอระแงะ ในช่วงเวลา 10.00 น. และขณะที่ตนขับรถยนต์เก๋งถึงบริเวณสามแยกบาโย จึงได้ชะลอความเร็วเพื่อเลี้ยวรถยนต์เก๋งเพื่อมุ่งหน้าไปที่ว่าการอำเภอระแงะ จู่ๆได้มีคนร้ายจำนวน 1 คน ซึ่งดักรออยู่ริมถนน ได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม.16 ยิงใส่ตนๆเห็นดังนั้น จึงได้รีบขับรถยนต์เก๋งออกจากจุดเกิดเหตุ เพื่อมุ่งหน้าไปตั้งหลักที่บ้านพัก แล้วคนร้ายได้วิ่งขึ้นรถยนต์ยี่ห้อโปรตรอนป้ายทะเบียนประเทศมาเลเซียหลบหนีไป และเมื่อถึงบ้านพักตนจึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบดังกล่าว
ด้านนายฆอยรินทร์ นายก อบต.บาโงสะโต กล่าวว่า ตนเคยถูกคนร้ายลอบยิงมาแล้ว 1 ครั้งในปี 2549 ซึ่งครั้งนั้นเป็นเรื่องของความมั่นคงตนไม่ได้รับบาดเจ็บ โดยครั้งนี้มาถูกลอบดักซุ่มยิงอีกครั้ง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นตนยังงงกับเหตุการณ์ เพราะตนไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งหรือบากหมางกับผู้ใด โดยในทุกๆเช้าของทุกวันตนจะปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกายไปตามถนนในหมู่บ้าน ถ้าคนร้ายหมายที่จะสังหารตนก็สามารถลงมือได้ทุกวัน แต่มาเกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้ตนต้องคิดทบทวนช่วงเวลาที่ผ่านไป ว่าไปกระทำสิ่งใดๆโดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้ใครไม่ถูกใจหรือโกธรเคืองบ้างหรือไม่
ด้าน พ.ต.อ.ปิยภัทร ทองพันเลิศกุล ผกก.สภ.ระแงะ เปิดเผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ได้ตั้งไว้ 2 ประเด็นในเบื้องต้น คือ เรื่องปัญหาความขัดแย้งส่วนตัว กับเรื่องของการเมืองท้องถิ่น ซึ่งหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับคนร้ายที่ลอบก่อเหตุในครั้งนี้ เป็นกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ภายในรถยนต์เก๋งของผู้เสียหาย ว่าสามารถจับภาพพฤติกรรมของคนร้ายไว้ได้มากน้อยเพียงใด ที่ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 จ.ยะลา ไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสืบสวนสอบสวน หาตัวคนร้ายมาลงโทษต่อไป
จากการสอบสวนนายฆอยรินทร์ นายก อบต.บาโงสะโต ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้ขับรถยนต์เก๋งไปร่วมดื่มน้ำชากับชาวบ้านที่ร้านน้ำชาในหมู่บ้าน ซึ่งทำเป็นกิจวัตรประจำวัน หลังจากร่วมนั่งดื่มน้ำชากับชาวบ้านแล้วเสร็จ ตนได้ขับรถยนต์เพื่อไปประชุม ณ ที่ว่าการอำเภอระแงะ ในช่วงเวลา 10.00 น. และขณะที่ตนขับรถยนต์เก๋งถึงบริเวณสามแยกบาโย จึงได้ชะลอความเร็วเพื่อเลี้ยวรถยนต์เก๋งเพื่อมุ่งหน้าไปที่ว่าการอำเภอระแงะ จู่ๆได้มีคนร้ายจำนวน 1 คน ซึ่งดักรออยู่ริมถนน ได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม.16 ยิงใส่ตนๆเห็นดังนั้น จึงได้รีบขับรถยนต์เก๋งออกจากจุดเกิดเหตุ เพื่อมุ่งหน้าไปตั้งหลักที่บ้านพัก แล้วคนร้ายได้วิ่งขึ้นรถยนต์ยี่ห้อโปรตรอนป้ายทะเบียนประเทศมาเลเซียหลบหนีไป และเมื่อถึงบ้านพักตนจึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบดังกล่าว
ด้านนายฆอยรินทร์ นายก อบต.บาโงสะโต กล่าวว่า ตนเคยถูกคนร้ายลอบยิงมาแล้ว 1 ครั้งในปี 2549 ซึ่งครั้งนั้นเป็นเรื่องของความมั่นคงตนไม่ได้รับบาดเจ็บ โดยครั้งนี้มาถูกลอบดักซุ่มยิงอีกครั้ง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นตนยังงงกับเหตุการณ์ เพราะตนไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งหรือบากหมางกับผู้ใด โดยในทุกๆเช้าของทุกวันตนจะปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกายไปตามถนนในหมู่บ้าน ถ้าคนร้ายหมายที่จะสังหารตนก็สามารถลงมือได้ทุกวัน แต่มาเกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้ตนต้องคิดทบทวนช่วงเวลาที่ผ่านไป ว่าไปกระทำสิ่งใดๆโดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้ใครไม่ถูกใจหรือโกธรเคืองบ้างหรือไม่
ด้าน พ.ต.อ.ปิยภัทร ทองพันเลิศกุล ผกก.สภ.ระแงะ เปิดเผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ได้ตั้งไว้ 2 ประเด็นในเบื้องต้น คือ เรื่องปัญหาความขัดแย้งส่วนตัว กับเรื่องของการเมืองท้องถิ่น ซึ่งหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับคนร้ายที่ลอบก่อเหตุในครั้งนี้ เป็นกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ภายในรถยนต์เก๋งของผู้เสียหาย ว่าสามารถจับภาพพฤติกรรมของคนร้ายไว้ได้มากน้อยเพียงใด ที่ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 จ.ยะลา ไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสืบสวนสอบสวน หาตัวคนร้ายมาลงโทษต่อไป