เมื่อวันที่ 22 ก.พ. นายอันวาร์ สาแระ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวชี้แจงเหตุผลในการโหวตงดออกเสียงสวนมติพรรคว่า ตนมีแนวทางและหลักเกณฑ์ในใจหลังรับฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ทั้งยังได้รับฟังเสียงสะท้อนจากกลุ่มผู้นำทางศาสนา กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มอาจารย์ นักวิชาการในมหาวิทยาลัยต่างๆ กลุ่มผู้นำท้องถิ่น และกลุ่มเยาวชนที่เล่นกีฬาด้วยกัน จึงขอชี้แจงถึงเหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะคิดว่าเป็นแนวทางใหม่ของการเมือง ที่ให้ประชาชนมีผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยตรง มีส่วนร่วมในการบริหารประเทศผ่านส.ส.ที่ชาวบ้านเลือกเข้ามา และเป็นที่รู้ทั่วไปว่า รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้ว ไม่ว่าจะตอบหรือไม่ตอบคำถามก็ตาม และได้กำหนดให้ฝ่ายค้านทำหน้าที่เพื่อท้วงติง ตรวจสอบ เสนอแนะให้ฝ่ายรัฐบาลมีสติยั้งคิด ให้ทำในสิ่งที่ถูกให้เป็นถูก ผิดให้เป็นผิด ส่วนฝ่ายรัฐบาลจะทำหรือไม่ ถือเป็นสิทธิ เป็นกติกาตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตนไม่ทราบว่าส.ส. กลุ่มหนึ่งในฝ่ายรัฐบาลจะไปตั้งวอร์รูมช่วยรัฐมนตรีเพื่ออะไร เพราะถึงอย่างไรก็ชนะอยู่วันยันค่ำ   นายอันวาร์ กล่าวต่อว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ ครั้งนี้ มีหลายประเด็นที่ตนคิดว่า พี่น้องประชาชนทั้งประเทศยังมีคำถามคาใจ เช่น กรณีการซื้อรองเท้าทหารแบบจังเกิ้ลบู๊ทในราคา 1,732 บาท/คู่ แต่ฝ่ายค้านระบุว่า ราคาที่ซื้อขายกันในตลาดเพียง 600 บาทต่อคู่ ทั้งยังซื้อเป็นจำนวนมากถึง 218,434 ชิ้น ส่วนต่างราคาอยู่ที่ 247,267,288 บาท แต่ได้รับคำตอบจากฝ่ายรัฐบาลว่า เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบจัดซื้อ โดยไม่มีคำตอบว่า ทำไมราคาแพง และย้อนถามผู้อภิปรายว่า เหตุที่อภิปรายเพราะไม่ชอบทหาร ตนคิดว่าไม่ใช่คำตอบ ซึ่งเป็นสิทธิของท่านนายกฯ แต่คนฟังจะคิดอย่างไร เพราะตอบไม่ตรงคำถาม ซ้ำยังสร้างความแตกแยก เพราะหากเปรียบเทียบกับกรณีจำนำข้าวของรัฐบาลที่แล้วว่า ไม่โปร่งใส จึงทำให้ประชาชนไม่พอใจ และรวมกลุ่มกันออกมาต่อต้านรัฐบาล สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผมวิตกกังวล ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐมนตรีอื่นๆ ตนขอไม่พูดถึง ขอพูดถึงท่านนายกฯในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลว่า การตอบคำถามที่ไม่ควรตอบ เพราะถ้าตอบแล้วไม่ชัดเจน ก็จะเป็นประเด็นทางการเมืองต่อไปว่า ท่านปล่อยปละละเลยให้พรรคร่วมรัฐบาลกระทำการอันมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ของรัฐบาล และประเทศชาติ “เราขอให้ประชาชนทั้งประเทศยอมรับกติกาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันว่า ไม่ว่าจะลงมติอย่างไร ท่านนายกฯก็ได้อยู่บริหารประเทศต่อไป แต่หากผมไม่แสดงความเห็นใดๆ ที่เป็นการส่งสัญญาณเตือนให้นายกฯทราบว่า แม้ว่าท่านจะสามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อได้ เพราะมี 250 ส.ว.เป็นกำลังเสริม ก็ขอให้ฉุกคิดถึงหัวอกของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ และให้ความสำคัญต่อสื่อมวลชน ที่นำเสนอข่าวและบทความวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้เกิดการแก้ไขจากข้อมูลของฝ่ายค้าน เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฎ ทำให้ประเทศชาติสูญเสียความน่าเชื่อถือและศรัทธาทั้งภายในและต่างประเทศ นายกฯในฐานะผู้นำรัฐบาล ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินได้ ผมเป็นส.ส.มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องบอกตรงๆ ว่า เป็นการยากที่ผมจะยกมือไว้วางใจท่าน แต่เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีของรัฐบาลและประเทศไทย จึงขอใช้สิทธิ คือ 1.ของดออกเสียงให้กับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายฯทั้งคณะ 2.ขอใช้สิทธิไม่ไว้วางใจ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ซึ่งผมเคยยกมือไว้วางใจให้ตามมติพรรคแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ได้สั่งการแก้ไขนโยบาย ส.ป.ก.4-01 ซึ่งเดิมเป็นนโยบายเพื่ออนุญาตให้คนจนทำมาหากินได้ แต่กลับไปแก้อนุญาตเอื้อให้กับนายทุนด้วย เป็นเหตุสำคัญ เพราะเรื่องนี้เคยเป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องยุบสภาฯ หลังถูกกล่าวหาว่า ทำผิดพลาดเอาที่ดินไปแจกคนรวยมาแล้ว 3.ขอใช้สิทธิไว้วางใจนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย แม้จะรู้กันดีภายในพรรคว่า นายนิพนธ์จะไม่ชอบตนเป็นการส่วนตัว ทั้งเคยพยายามกีดกันไม่ให้ผมลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่เพราะเรื่องที่ถูกอภิปราย ยังเป็นคดีในศาล และยังไม่มีการตัดสินว่าใครถูก ใครผิด ผมจึงไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวในการลงมติไม่ไว้วางใจ เพราะหากศาลตัดสินภายหลังมาว่า นายนิพนธ์ไม่ผิด ผมคงเสียใจว่า เป็นคนไร้หลักการ”นายอันวาร์ กล่าว