BGC มุ่งยกระดับธุรกิจสู่ Total Packaging Solution ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร พร้อมวางเป้าหมายผลักดันรายได้เติบโตอีกเท่าตัวภายใน 5 ปีข้างหน้า จาก 1.1 หมื่นล้านบาท เป็น 2.5 หมื่นล้านบาท ด้านคณะกรรมการบริษัทไฟเขียวอนุมัติแผนเข้าลงทุน M&A ใน 2 บริษัท ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์ม และกล่องกระดาษลูกฟูก ช่วยต่อยอดเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้น เตรียมเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติ ส่วนปี 64 วางเป้าหมายรายได้เติบโต 35% จากปี 63 ที่มีรายได้จากการขาย 10,968 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 516 ล้านบาท พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผล 0.12 บาทต่อหุ้น นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทได้วางนโยบายยกระดับธุรกิจของ BGC จากผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วสู่การเป็น Total Packaging Solution หรือผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการดำเนินงานรองรับแผนผลักดันรายได้เติบโตเท่าตัว จาก 1.1 หมื่นล้านบาท เป็น 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2025 พร้อมทั้งปรับวิสัยทัศน์ (Vision) ขององค์กรเป็น “Bringing Good Value to Everyone Everyday” สื่อถึง BGC จะเป็นองค์กรที่ส่งคุณค่าสู่ทุกคน ในทุกวันด้วยบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ภายใต้พันธกิจที่จะส่งมอบคุณค่าสู่ทุกฝ่าย ได้แก่ ผู้ถือหุ้น ลูกค้า พนักงาน รวมถึงสังคมและโลกของเรา “ในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่บริษัทเผชิญกับความท้าทายจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างไรก็ตามเราสามารถทำผลงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ พร้อมทั้งมองโอกาสพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งการลงทุนควบรวมกิจการหรือ M&A เพื่อต่อยอดการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับบรรจุภัณฑ์แก้ว หรือการลงทุนขยายธุรกิจในปัจจุบัน เพื่อตอบโจทย์การเป็น Total Packaging Solution หรือผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร จากเดิมที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว โดยบริษัทฯ จะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์แก้ว ฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์มและกล่องกระดาษลูกฟูก ซึ่งจะสร้างโอกาสเพิ่มยอดขายจากลูกค้าแต่ละรายและเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ” โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติแผนลงทุน M&A ในกิจการ 2 บริษัทได้แก่ (1) เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์ม และ (2) เข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 5 หมื่นตันต่อปี ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 1,650 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินในประเทศและบริษัทฯ ยังคงรักษาอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ไม่เกิน 2.5 เท่า ทั้งนี้กิจการทั้ง 2 บริษัทล้วนมีกำไรอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่าการลงทุนดังกล่าวจะเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจและผลการดำเนินงานของ BGC ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้และผลกำไรจากบริษัทที่เข้าลงทุน หลังเสร็จสิ้นกระบวนการเข้าควบรวมกิจการ ประกอบกับบริษัทจะสามารถนำเสนอบริการแบบครบวงจร (One stop service) ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ พร้อมฉลาก ฝา และกล่องกระดาษ โดยมีทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ มีเทคโนโลยีด้านการออกแบบที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายแก่ลูกค้าจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย คาดว่าบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนดังกล่าวตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป หากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้าขยายการลงทุนเพิ่มเพื่อเสริมศักยภาพการเป็น Total Packaging Solution ซึ่งจะส่งผลต่อโครงสร้างรายได้ในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยคาดว่าภายใน 5 ปีนับจากนี้ บริษัทฯ จะมีรายได้หลักจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วประมาณ 55% ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับบรรจุภัณฑ์แก้ว 40% และธุรกิจด้านพลังงาน 5% จากปัจจุบันที่มีรายได้หลักจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว 95% และธุรกิจด้านพลังงาน 5% นายศิลปรัตน์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2563 แม้จะมีปัญหาเศรษฐกิจและผลกระทบจากการใช้มาตรการเคอร์ฟิว การ Lock down และการห้ามขายแอลกอฮอล์ เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา รวมถึงต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย บริษัทยังคงสามารถทำกำไรสุทธิ 516 ล้านบาท อยู่ในระดับเดียวกับปี 2562 ที่ทำได้ 512 ล้านบาท แม้ว่ารายได้จากการขายจะอยู่ที่ 10,968 ล้านบาท ชะลอตัวจากปี 2562 ที่มีรายได้จากการขาย 11,252 ล้านบาท ทั้งนี้ที่ประชุมบอร์ดบริษัทได้มีมติอนุมติจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2563 จำนวน 0.12 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินกว่า 83 ล้านบาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 21 เดือนเมษายนนี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ของภาครัฐในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ลดลงอย่างชัดเจน ปัจจุบันบริษัทยังมีคำสั่งซื้อตามปกติ ส่วนต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัทมีการวางแผนรับมือโดยการเพิ่มรูปแบบของพลังงานที่ใช้เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มสัดส่วนการใช้เศษแก้วในการหลอมเพื่อลดการใช้พลังงาน และควบคุมการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามคาดว่าบริษัทจะได้รับผลดีจากราคาโซดาแอช (Soda ash) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับผลิตแก้วที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และราคาเศษแก้วที่ทรงตัว โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้รวม สำหรับปี 2564 เติบโตจากปีก่อนประมาณ 35% จากแผนงานขยายธุรกิจ M&A