วันที่ 21 ก.พ.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่นายกอบชัย บุญอรณะ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ได้รับรายงานจากการเฝ้าติดตามสถานการณ์ด้านมลพิษทางอาการ PM2.5 ในพื้นที่ พบว่า ยังมีประชาชนบางส่วน ยังทำการจุดหรือเผาทำลายเศษวัชพืช เช่นตอซังข้าว ไร่อ้อยจึงจำเป็นต้องออกมาตราการเข้มเน้นย้ำ พร้อมทั้งหยิบยกประเด็นต้องโทษถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญาขึ้นมาเพื่อเป็นการเตือน ให้กับประชาชนได้รับทราบ ถึงข้อเสียและผลกระทบที่จะได้รับ โดยมีตัวอย่างในการจับกุมผู้ที่กระทำความผิดแล้วในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ โดยวันที่ 18 ก.พ.64 ที่ผ่านมา ทางด้านนายวรศิษย์ พุฒจีบ นายอำเภอจัตุรัส ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. หนองบัวโคก เทศบาลหนองบัวโคก ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุเผาป่า ริมถนนหมายเลข 201 บริเวณแผงขายผลไม้ ต.หนองบัวโคก จากการตรวจสอบในเบื้องต้น เป็นการเผาอ้อย ซึ่งไร่อ้อยเป็นของนายทองมี (นามสมมุติ) เป็นชาว อ.ด่านขุนทด ซึ่งมาทำไร่อ้อยในพื้นที่อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ จากการให้ข้อมูลของชาวบ้านในพื้นที่ข้างเคียง เกิดไฟไหม้ จากที่การเผาไร่อ้อย จึงได้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นข้อมูล ก่อนส่ง จนท.ลงพื้นที่ในที่เกิดเหตุพบหลักฐาน ทั้งนี้ได้ประสานงานกับผู้นำในพื้นที่นำตัวเจ้าของไร่อ้อยดั่งกล่าวมารับทราบข้อกล่าวหา ล่าสุดพ.ต.อ.พงศ์ชิต พุ่มชุมพล ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหนองบัวโคก และเจ้าหน้าที่ ปกครองนำตัวผู้ก่อเหตุเผาไร่อ้อยดังกล่าวมาจำนวน 2 คน ได้แก่ นายทองมี (นามสมมุติ) อายุ 73 ปี และนางสม (นามสมมุติ) อายุ 47 ปี (บุตรสาว) ทั้งสองให้การรับสารภาพว่า ได้เผาอ้อยในพื้นที่ไร่ของตนซึ่งอยู่บริเวณริมถนนหมายเลข 201 บริเวณแผงขายผลไม้ ต.หนองบัวโคก ดังกล่าวจริง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ สภ.หนองบัวโคก จึงได้ดำเนินการปรับผู้ก่อเหตุทั้งสองราย ตามประมวลกฎหมายที่มีความผิดอาญา มีโทษตั้งแต่จำคุก 1 เดือน ถึง 7 ปี หรือสั่งปรับตั้งแต่ 2,000 – 14,000 บาท จากนั้นได้ว่ากล่าวตักเตือนในเบื้องต้นเพื่อไม่ให้ก่อเหตุดังกล่าวอีก ทั้งยังฝากสารจากพ่อเมืองไปถึงผู้คิดที่จะเผาในที่โล่งแจ้ง ซึ่งจะก่อให้เกิด ผลกระทบทางมลพิษทำให้เกิดค่า PM 2.5 พุ่งมากขึ้น ให้เลิกคิดเพราะต่อจากนี้ไปทางจนท.จะเข้มงวดโดยการใช้กฎหมายบังคับและอาจจะต้องถูกดำเนินคดีข้อหาหนักอีกด้วย