เน้นมี CBD รองรับแผนผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพ เบื้องต้นทำสัญญาซื้อขายแล้วกับวิสาหกิจชุมชนที่บุรีรัมย์ ขณะมีอีก 3 แห่งผ่านประเมินแล้ว รอพิจารณารายละเอียด ระบุราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนร่วมโครงการ
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.64 นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรมต.สาธารณสุข เป็นประธานในพิธี ประกาศเจตนารมณ์ “ความร่วมมือระหว่างองค์การเภสัชกรรม กับเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกัญชา สร้างต้นแบบหลักเกณฑ์ความร่วมมือและจัดซื้อช่อดอกกัญชาแห้งทางการแพทย์” โดยกล่าวว่า ไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รัฐบาลสนับสนุนการนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์อย่างปลอดภัย ปัจจุบันมีวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับอนุญาตปลูกกัญชาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) 82 ราย แต่ละรายได้มีรูปแบบการปลูกที่หลากหลาย ทั้งแบบระบบปิด แบบโรงเรือน และแบบกลางแจ้ง ทั้งเพื่อการศึกษาวิจัยและการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ทั้งแผนไทยและแผนปัจจุบัน
ทั้งนี้ องค์การเภสัชกรรมและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ได้ร่วมสร้างต้นแบบหลักเกณฑ์ความร่วมมือและจัดซื้อช่อดอกกัญชาแห้งทางการแพทย์ในครั้งนี้ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนารูปแบบการดำเนินงานด้านกัญชาทางการแพทย์และเพื่อสุขภาพ ที่เป็นเชิงพาณิชย์และถูกต้องตามกฎหมาย จะเป็นแนวทางให้กับหน่วยงานวิสาหกิจชุมชน ผู้ปลูกกัญชาอื่น ๆ เพื่อให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างประโยชน์ต่อสังคมตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนด้าน
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การฯ มีแผนผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพที่ใช้สาร CBD เป็นวัตถุดิบอีกหลายรายการ จึงต้องแสวงหาแหล่งปลูกกัญชาสายพันธุ์ CBD เด่น เพิ่มจากที่องค์การฯ ปลูกเอง โดยจะร่วมกับวิสาหกิจชุมชนที่มีประสบการณ์ปลูกกัญชาที่มีสารสำคัญ CBD เด่น และได้รับการอนุญาตในการปลูกกัญชาทางการแพทย์อย่างถูกต้องจากอย. มีผลการตรวจวิเคราะห์ช่อดอกแห้ง ที่มีปริมาณสาร CBD เด่น สูงตั้งแต่ 8.0 เปอร์เซ็นต์ (โดยน้ำหนัก) ขึ้นไป ตามเกณฑ์มาตรฐานที่องค์การฯ กำหนด โดยเบื้องต้นได้คัดเลือกวิสาหกิจชุมชนและได้ทำสัญญาซื้อขายช่อดอกกัญชาแห้งแล้ว 1 แห่ง ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนศูนย์กลางพัฒนาสมุนไพรเพลาเพลินเพื่อชุมชน จ.บุรีรัมย์ และมีวิสาหกิจที่ผ่านประเมินอีก 3 แห่ง คือ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์เพชรลานนา จ.ลำปาง วิสาหกิจชุมชนกลุ่มรักจังฟาร์มวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก, เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม จ.แม่ฮ่องสอน อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป
ด้านดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรมกล่าวถึงเกณฑ์คุณสมบัติช่อดอกกัญชาแห้งที่จะรับซื้อคือ ต้องมี CBD เด่น เป็นช่อดอกแห้ง ที่รวมส่วนซูก้าลีฟ (Sugar Leaf) เป็นส่วนของใบที่เรียงขึ้นบริเวณช่อดอก ตากในห้องมืด อุณหภูมิต่ำ คุมความชื้นได้ พร้อมบรรจุในถุงสูญญากาศ เพื่อสามารถเก็บไว้ได้นาน, ผ่านตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ สารโลหะหนัก เชื้อรา ไม่เกินที่กำหนด ที่สำคัญคือ ต้องมี THC น้อยกว่าน้อยหรือเท่ากับ 0.5 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก CBD มากกว่าหรือเท่ากับ 12 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก และมีความชื้น น้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก
สำหรับราคาการรับซื้อช่อดอกแห้งเกรด A ปริมาณสารสำคัญ CBD มากกว่า 12 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก กิโลกรัม(กก.) ละ 45,000 บาท เกรด B ปริมาณสารสำคัญ CBD 10 – 11.9 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก กก.ละ 37,500 – 43,125 บาท ปริมาณสารสำคัญ CBD 8-9.9 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก กก.ละ 30,000 – 35,625 บาท ซึ่งราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตตามที่อภ. กำหนด
ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเสนอเข้าร่วมที่ www.gpo.or.th/กัญชา หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ call center โทร .1648 e-mail: [email protected] โดยอภ. จะพิจารณาคุณสมบัติและศักยภาพตามรายละเอียดที่ลงทะเบียนไว้ จากนั้นติดต่อวิสาหกิจชุมชนรวบรวมข้อมูลรายละเอียดเพิ่ม ลงพื้นที่เพื่อประเมินแผนการปลูก และพิจารณาคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ของ อภ. และขออนุญาตร่วมกันปลูกกัญชาทางการแพทย์ต่อ อย. เมื่อได้รับอนุญาตจาก อย.แล้ว วิสาหกิจชุมชนและองค์การฯ จะร่วมกำหนดปริมาณน้ำหนักช่อดอกแห้งและระยะเวลาที่จะส่งมอบเพื่อจัดทำสัญญาซื้อขายต่อไป