บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2563 EBITDA ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 3,849 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนร้อยละ 30.2 ผลจากการลงทุนโครงการใหม่ๆ และการเติบโตของโครงการลงทุนที่มีอยู่เดิมซึ่งบริษัทได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดปี 2563 EBITDA โตขึ้นร้อยละ 30.2 จากปี 2562 อยู่ที่ 3,849 ล้านบาท ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่รายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 4,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5 มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 1,959 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5ขณะที่งวดไตรมาส 4/2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 536 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.5 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2563 มีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจาก บริษัทรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว “Nam San 3A” ที่กลุ่มบริษัทเข้าซื้อตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม “ลมลิกอร์” ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2562
นอกจากนี้ยังทยอยรับรู้รายได้จาก 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งที่ 2 “Nam San 3B” ใน สปป.ลาว ขนาดกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เข้าซื้อเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 โครงการในประเทศไทย ขนาดกำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ ที่ได้เข้าซื้อเมื่อเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
ขณะเดียวกันยังได้รับส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพเพิ่มขึ้น เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าต่อหน่วยเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการเดินทางติดต่อธุรกิจลดลง ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) พร้อมทั้งค่าใช้จ่ายด้านที่ปรึกษาเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการได้ลดลง
โดย ณ สิ้นปี 2563 สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 51,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ร้อยละ 37.9 ส่วนหนี้สินรวมอยู่ที่ 28,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.8 โดยการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ และหนี้สินดังกล่าว มีสาเหตุหลักจากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3B ที่ สปป.ลาว และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 โครงการในประเทศไทย
“ปี 2563 เป็นปีที่บริษัทมี EBITDA ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนในโครงการใหม่ๆ และการเติบโตของโครงการลงทุนที่มีอยู่เดิมซึ่งบริษัทได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา และจากความสำเร็จในการเพิ่มทุนของบริษัทในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตขึ้นเป็นระดับ 22,480 ล้านบาท เติบโต 45% โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) อยู่ใน 1.27 เท่า พร้อมรองรับแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี วงเงินประมาณ 40,000 ล้านบาทที่สามารถทำให้บริษัทมีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า adder ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จะทยอยหมดลงไปก็ตาม เป้าหมาย EBITDA ของบริษัทฯจะยังคงเติบโตโดยเฉลี่ยร้อยละ15% ต่อปี ใน 5 ปีข้างหน้า”
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิ สำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2563 หรือครึ่งปีหลัง ของปี 2563 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดวันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2563 ที่ได้จ่ายไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2563 รวมอัตราหุ้นละ 0.33 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 768.82 ล้านบาท
โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 4 มีนาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 เมษายน 2564 และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD (Exclude Dividend) ในวันที่ 3 มีนาคม 2564 ทั้งนี้บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 แล้วกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในวันที่ 7 เมษายน 2564 เวลา 13.30 น.ที่อาคารเอ็มทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท