ซักฟอกวันที่สองเดือด! “จิราพร” ซักฟอกปมเก่าเหมืองทองอัครา “สุริยะ”ปัดแลกที่ 4 แสนไร่ ถอนฟ้องคดีเหมืองทองอัครา มั่นใจรบ.ไม่เสียค่าโง่บริษัทคิงส์เกตฯ ด้าน“ประยุทธ์” ลั่น ไม่เคยรับเงินทุจริต ย้ำเรือดำน้ำจำเป็นปกป้องอธิปไตย ชี้ชีวิตมีความเสี่ยง บ่นเสียดายเงินใช้หนี้ “รับจำนำข้าว” 7 แสนล้าน ส่วน“วิโรจน์” อัด “บิ๊กตู่- เสี่ยหนู”จัดซื้อวัคซีนล่าช้าทำ ศก.-ปชช. เสียหาย หลังแทงหวย จัดซื้อแอสตราเซเนการายเดียว ไม่สนใจโคแวกซ์ ท้าเปิดสัญญาจัดซื้อ ขณะที่ พปชร.ประท้วงวุ่นนำสถาบันมาเกี่ยวข้อง “อนุทิน” โต้ “วิโรจน์” ลอกโซเชียลโกหกคำโตปมวัคซีนโควิด เย้ยในสภาฯด่าสารพัด พอเจอหน้าห้องน้ำกราบแทบอก “สิระ”งานเข้า “ปปช.”เล็งตรวจสอบ “เหรียญหลวงพ่อป้อม-สร้อยคอ” แจ้งบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ เจ้าตัวยันสร้อยทองยื่นบัญชีทรัพย์สินแล้ว ส่วนล็อกเก็ต “หลวงพ่อป้อม” ใช้เงินสดทำมา ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่17 ก.พ.64ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมี นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่2 เป็นประธานในการประชุมพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่สอง โดยก่อนอภิปรายฯ นายศุภชัย ได้แจ้งเวลาที่ใช้ไปในการอภิปรายฯวันแรก ใช้เวลารวม 12 ชั่วโมง 34 นาที 26 วินาที โดยคณะรัฐมนตรีใช้เวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที 22 วินาที ซึ่งรัฐมนตรีชี้แจงรวม 7 คน ส่วนฝ่ายค้าน ใช้เวลารวม 9 ชั่วโมง 46 นาที 16 วินาที โดยมีส.ส.อภิปรายฯรวม 10 คน และเวลาที่ไม่นับรวมว่าเป็นของฝ่ายใด2 ชั่วโมง 3 นา ที 46 วินาที ทั้งนี้ขอให้ยึดข้อบังคับอย่างเคร่งครัดและคำนึงถึงผลกระทบหลายๆ ด้าน จากนั้น น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายเป็นคนแรกว่า คดีเหมืองทองอัครา มีแนวโน้มสูงที่รัฐบาลไทยมีโอกาสแพ้คดีโดยเฉพาะการให้สิทธิสัมปทานที่ดินกว่า 4 แสนไร่ ให้บริษัท คิงส์เกตคอน โซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด เพื่อแลกกับการถอนฟ้อง เป็นพื้นที่รอยต่อ จ.เพชรบูรณ์ พิจิตร และพิษณุโลก หลังพล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ยกเลิกสัมปทานโดยไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายสากล และถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย คิดเป็นมูลค่าเบื้องต้น 2.53 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มประเทศไทยมีโอกาสแพ้คดี 100% ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ชี้แจงว่า ไม่มีการแลกเปลี่ยนที่ดิน 4 แสนไร่ เพื่อให้ถอนฟ้อง และที่บอกว่ารัฐบาลแพ้ 100% หากแพ้ บริษัทคิงส์เกตฯ คงไม่เจรจา เพราะได้เงิน 2.5 หมื่นล้านบาทฟรีๆ แต่ทำไมยังให้บริษัทอัคราฯ ลงทุนในประเทศไทย ทั้งที่คิดว่ามีกำไรเพียง 5,000 ล้านบาท และต้องลงทุนถึง25 ปี ถึงจะได้เงิน 2.5หมื่นล้านบาท ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกฯ และมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงว่า "การจัดซื้อจัดจ้าง ของกระทรวงกลาโหมเป็นไปตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง มีคณะกรรมการพิจารณาและขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างก็ไปตามอำนาจที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ผมในฐานะรมว.กลาโหม ได้ย้ำเตือนเรื่องความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้ตลอดเวลา และผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างเลย ฉะนั้นอย่ามาอ้างว่าผมได้ประโยชน์จากตรงนี้ ผมบอกแล้วเงินที่ไม่สุจริต ผมไม่รับทั้งสิ้น" นายกฯ ยังชี้แจงถึงเรื่องเรือดำน้ำว่า ต้องแยกแยะให้ออกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เรื่องเรือดำน้ำเป็นการสร้างความมั่นใจว่าไทยมีศักยภาพในการปกป้องอธิปไตยของประเทศการจัดซื้อเรือดำน้ำก็มีการทำสัญญา ทยอยจ่ายและผ่อนชำระ โดยใช้เวลาก่อสร้างเรือ 6 ปี เขาเอาชีวิตไปฝากไว้ตรงนั้น ก็เพื่อคนไทยทุกคนที่มีความสุขอยู่ในประเทศ ขอให้นึกเขาบ้าง เขาเสี่ยง เขาก็มีชีวิตมีครอบครัว คนที่ลงไปอยู่ในเรือดำน้ำเขาก็เสี่ยง "วันนี้ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ มีวิธีการที่เหมาะสมในการบังคับใช้กฎหมาย ต้องเห็นเจ้าหน้าที่เขาด้วย ซึ่งรัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้ว่าจะต้องไปละเมิดสิทธิของคนอื่น จะชุมนุมก็ว่าไป อย่าใช้ความรุนแรง ท่านอย่าปฏิเสธผม ใครทำก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมก็เห็นว่าเขาเป็นไทย เขาคือเพื่อนร่วมชาติของผม แต่เขาคิดถึงผมอย่างนั้นหรือเปล่าไม่แน่ใจ แผ่นดินนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เจตนาดี เจตนาไม่ดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขารู้หมด ผมนับถือศาสนาพุทธ ผมก็เชื่อตรงนี้" นายกฯ กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้เรามีภาระที่ต้องจ่ายคือการขาดทุนจำนำข้าว อย่าบอกว่าตนไปอ้าง เพราะรัฐบาลต้องรับผิดชอบผ่อนชำระอยู่ ถ้าไม่พูดจะรู้เรื่องกันไหม ไม่ได้ไปเน้นใครก็แล้วแต่ ใครทำก็รับไป โครงการนี้มีภาระที่รัฐชดเชยใช้ไปแล้วกว่า 705,018.05 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ ตนก็เสียดาย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่าลืมปัญหาหนี้สาธารณะ เป็นเรื่องธรรมดาที่รัฐบาลต้องรักษาต่อเนื่องกันมา แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องของที่เราต้องแบกภาระในวันหน้าทุกคนต้องมาใช้หนี้ด้วยกัน เพราะเป็นเรื่องการใช้งบประมาณภาครัฐ พี่มาจากภาษีของประชาชน ถ้าเราพูดให้ไม่เข้าใจกันต่อไปมันก็ยุ่งยากมีปัญหากับเรื่องภาษีอีก เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ รัฐบาลไม่ต้องการรีดภาษีจากใคร และไม่ดีมีการขึ้นภาษีตรงไหนโดยเฉพาะในช่วงนี้ " วันนี้กำลังดำเนินการอยู่ในเรื่องโครงการเราชนะ ใครชนะใครแพ้ ผมไม่รู้ คำว่าชนะ เขาไม่ได้หมายความว่าให้ผมอยู่ในอำนาจ ให้ผมชนะ มีอำนาจ พูดกันเหลือเกินเรื่องอำนาจเนี่ย อยู่กันด้วยความเข้าใจไม่ดีหรือ อยู่กันด้วยความร่วมมือไม่ดีหรือเพื่อใคร เพื่อประเทศของเราประชาชนของเราที่ทุกคนก็อ้างว่ารักทั้งสิ้น ผมรักเขาทุกวัน ผมคิดถึงเขาทุกวัน แต่ผมก็ต้องดูแลเขาได้อีก แต่ก็ติดเรื่องงบประมาณ แต่นโยบายก็ทยอยออกมาตามลำดับ ถ้ารัฐบาลไม่สนใจจริงก็ไม่ต้องแจก ผมถือว่าบริหารเรื่องนี้ได้ดีพอสมควร ต่างประเทศเขาก็ชมเราเขาพยายามจะทำอย่างไรยังทำไม่ได้เลย มีแต่เรา ที่ติดกันเองอยู่นั่นแหละ" นายกฯ กล่าวต่อว่า ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลทำเพื่อประชาชนด้วยความรอบคอบศึกษาทุกอัน ถ้าเปิดกูเกิ้ลอย่างเดียวแล้วเอาราคามาพูดเถียงก็อย่างนี้ ในกู้เกิ้ลมันบอกหรือไม่ว่าต้องมีเรื่องค้ำประกัน มีเรื่องที่ต้องศึกษา มีเรื่องของการร่วมสร้างหรือไม่ หลายคนเคยพูดกันหลายทีในเรื่องการซื้อรถเกราะว่าทำไมไม่ไปซื้อของอเมริกา มันราคาเท่าไหร่เขาระบุเป็นหลายคัน โครงการแนบมาไม่มีเลย เหล่านี้เป็นเรื่องที่อยู่ในระเบียบรายการจัดซื้อจัดจ้าง ของภาครัฐและกระทรวงกลาโหม " ท่านไม่ชอบผมไม่เป็นไร แต่ท่านไม่ชอบประเทศของท่าน ไม่ควร เพราะประชาชนก็คือประชาชนของเรา ที่เราต่างคนต่างฝ่ายก็รักกันทั้งคู่ คำว่ารักประชาชนเราต้องไม่เลือกว่าใคร เป็นใคร แต่กฎหมายเป็นผู้ดำเนินการอยู่แล้วให้ทุกคนอยู่อย่างเป็นปกติ ในประเทศไทยไม่ว่าจะประชาธิปไตยแบบไหนก็ตาม ต้องมีกฎหมาย ที่ทำให้สังคมสงบเรียบร้อย อันศึกนอกศึกใน ผมไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง หากคนไทยหันมาฆ่ากันเอง เราจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟังขอบคุณครับ" ต่อมา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายฯ การบริหารวัคซีนผิดพลาดเป็นข้อหาฉกรรจ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาสาธารณสุข ก่อให้เกิดปัญหาปากท้องประชาชน เศรษฐกิจชาติพัง เสียหายเดือนละ 2.5 แสนล้านบาท วันละ 8,300 บาท หรือชั่วโมง347 ล้านบาท โดยความล่าช้าการจัดหาวัคซีนของไทย แผนเดิมปี64 จำนวน 11 ล้านคน ปี 65 อีก 11 ล้านคน และ ปี 66 อีก 10 ล้านคน แต่ยังมีข้อดีคือไม่ได้กระจุกตัวไว้ที่ บริษัท แอสต้ราเซนเนก้า เน้นกระจายความเสี่ยงไปหลายยี่ห้อ แต่การกระจุกรายเดียว พึ่งมาตื่นตัวในภายหลัง โดยมติครม.วันที่ 17 พ.ย. ที่อนุมัติวัคซีนจากบริษัท แอสต้ราเซนเนก้า รายเดียว วงเงิน 6 พันกว่าล้านบาท โดยให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติทำสัญญาจองล่วงหน้า 2,379 ล้านบาท ต่อมาแผน กระจุกตัวทำลายชาติเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 64จากรายงานศบค. และประชุมครม.วันที่ 5 ม.ค.64ที่มีการรับลูกกันมา ให้ซื้อวัคซียนจากแอสตราเซเนกาอีก 35 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส จึงถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ว่าไม่สนใจการเตือน เรื่องกระจายความเสี่ยงเลย โดยจงใจใช้คนไทยเดิมพัน ซื้อแอสตราเซเนกา เป็นรายเดียว และมติครม.วันที่ 5 ม.ค.64ก็ไม่ได้ระบุวงเงินจัดซื้อเลย คำถามคือเมื่อไม่จ่ายเงินล่วงหน้า แล้วจะได้วัคซีนเมื่อใด และ ทำไม จึงเปลี่ยนแผน และหากได้แน่ใจ ทำไมถึงจัดซื้อวัคซีนเพิ่มจาก ซิโนแวค 2 ล้านโดส เพิ่มในไตรมาสแรกปี 64 ไม่รอจาก แอสตราเซเนกา แล้วหรือ แสดงว่า นายกฯ และ นายอนุทิน ทราบว่าฝากไว้ที่ แอสตราเซเนกา เพียงรายเดียวจะมีความเสี่ยง และเอาชีวิตคนไทยเป็นเดิมพันเคยฟังความเห็นผู้เชี่ยวชาญบ้างหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ต่อมา นายอนุทิน ระบุในวันที่ 4 ก.พ.64 ทยอยฉีด ได้เดือนละ 5 ล้านโดส และต่อมาวันที่ 8 ก.พ.64กลับลำบอกว่าฉีดได้เดือนละ 10 ล้านโดส จึงอยากถามว่าได้เตรียมระบบและแผนการฉีดแล้วหรือไม่ยัง ที่ผ่านมานายอนุทิน ชอบพูดจาเชื่อถือไม่ได้ จึงถามนายกฯ กล้าเชื่อในสิ่งที่พูดไว้หรือเปล่า เพราะประชาชนอยากรู้จะได้กลับมาทำมาหากิน หากเชื่อในคำพูดของนายอนุทิน ก็ให้ทั้งคู่สัญญากลางสภาฯได้เลย หากทำไม่ได้ก็ลาออกไป และ ที่เลวร้ายการการหาวัคซีน โคแวกซ์ ทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ในเดือน ก.ค.63 ต่อมา วันที่ 5 ต.ค.63 มีข้อกังวลระยะเวลา ไทยขอเลื่อนทำข้อตกลงมา2 เดือน ทำให้เห็นว่าไม่สนใจจัดหาวัคซีนโคแวกซ์ และปัจจุบันพึ่งมาจัดหาใหม่ ถือว่าเป็นคนหลอกประชาชนไปเรื่อยๆ และไม่ยอมรับความผิดของประชาชน ส่วนที่อ้างว่าไทยไม่เข้าร่วมเพราะมีฐานะปานกลาง คำถามคือมาเลเซีย และประเทศอาเซียน รวมทั้ง ยุโรป สหรัฐฯ รวม172 ประเทศ ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกเผยในเว็บไซต์ว่าวัคซีนที่แอสตราเซเนกาขายให้โคแวคในราคา 3 เหรียญต่อโดสเพราะมียอดสั่งซื้อมากกว่า ขณะที่ไทยต้องซื้อในราคา 5 เหรียญต่อโดส ตกลงว่าใครมีอำนาจเจรจาต่อรองมากกว่า ต้องการให้คนไทยทั้งประเทศไปกระจุกความเสี่ยงกับแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทยโดยบริษัทเอกชนที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อนแต่เพียงเจ้าเดียว การปฏิเสธโคแวกซ์ทั้งๆที่ 172 ประเทศเข้าร่วมเป็นการกระทำที่เสี่ยงมากๆ “ซ้ำรัฐบาลอินเดียได้เคยเสนอขายวัคซีนแอสตราเซเนกาให้กับไทยในราคาทุนแต่กลับไม่มีการตอบรับ สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือจัดหาวัคซีนจากแหล่งต่างๆเพื่อกระจายความเสี่ยง มีทางเลือกให้ประชาชนได้ใช้ตามประสิทธิภาพ แล้วอย่านำอุณหภูมิการจัดเก็บวัคซีนมาเป็นข้ออ้าง ถ้าเราวางแผนดีๆเชื่อว่าจัดการได้ ถ้าส่งมอบล่าช้าจะทำอย่างไร ฉีดแล้วเกิดการแพ้จะทำอย่างไรหรือมีประสิทธิภาพในการคุ้มกันต่ำจะหาวัคซีนที่ไหนมาทดแทน เกิดเชื้อกลายพันธุ์จะทำอย่างไร แต่ความผิดพลาดก็เกิดขึ้น เมื่อนายอนุทินแถลงเองว่าวัคซีนจากแอสตราเซเนกาจะมาล็อตแรกช่วงเดือนก.พ. และเริ่มฉีดวันวาเวนไลน์ที่ผ่านมา เมื่อเกิดการส่งล่าช้า อียูประกาศควบคุมการส่งออกกดดันให้ส่งตามสัญญา 5 หมื่นโดส แรกจึงมาที่ไทยไม่ได้ แล้วจะการันตีได้อย่างว่าอีก 10 ล้านโดสจะไม่มีปัญหา และขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขเวียดนามประกาศได้รับวัคซีนในไตรมาสแรกของปี 2564 แต่ประเทศไทยต้องรอถึงเดือนมิ.ย. 64 ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กับนายอนุทินยังต้องตอบคำถามว่า จะยืนยันให้คนอายุ 65 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาอยู่หรือไม่ทั้งที่หลายประเทศในยุโรปไม่แนะนำให้ใช้ เพราะมีข้อมูลจำนวนการทดสอบที่ไม่มากพอถึงขั้นให้ควบคุมการใช้ แบบนี้จะทำอย่างไร จะไปใช้ซิโนแวคก็มีแค่ 2 ล้านโดส โคแวกซ์กก็ไม่เข้าร่วม สรุปจะบังคับให้ผู้สูงอายุฉีดกับแอสตราฯอย่างเดียวใช่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า อยากให้มีการเปิดเผยสัญญาการจัดซื้อแอสตราฯ จะได้รู้ว่าไทยซื้อแพงกว่าประเทศอื่นหรือไม่ จะทำประชาชนตรวจสอบสมเหตุสมผลหรือไม่ ก่อนหน้านี้ ตนก็ขอผู้เกี่ยวข้อง และ นายอนุทิน ให้เปิดเผยสัญญาแต่ก็ได้รับการปฏิเสธ แตกต่างๆจากยุโรป ก็เปิดสัญญาให้ประชาชนดูได้ไม่เห็นว่า แอสตราฯจะยกเลิกสัญญา นอกจากนี้ นายกฯ รู้ว่า สยามไบโอไซเอนซ์ มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันไปเป็นประธานพิธีลงนามสัญญาจัดหาวัคซีน ในวันที่ 27 พ.ย.63 แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงความรอบคอบ โปรงใส ปกป้องพระเกียรติยศ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุระคายเคือง จนเกิดความล่าช้าในการจัดหาวัคซีน และสร้างความระคายเคืองพระยุคลบาท นี่หรือคนที่อ้างว่าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และที่กล้าที่จะเป็นเหลือบ ลิ้น ไร ปรสิต โหนนำสถาบันมาเป็นเกราะป้องกันตัวเองความผิดตัวเอง ส่งผลให้ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จำนวนมาก ลุกขึ้นประท้วงนำเรื่องสถาบันมาเกี่ยวข้อง พร้อมขอให้ยุติการอภิปรายฯ โดยนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า "พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรืออย่างไร พูดเรื่องสถาบัน จากนั้นนายสิระ ก็ถอนคำพูด ขณะที่ น.ส. ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรค พปชร. ระบุว่า จริงๆแล้วบิดาเขาตัวดีเลย จนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อาจเป็นเหตุให้นายวิโรจน์พาดพิงสถาบัน ไม่หยุด จากนั้น น.ส.ปารีณา ก็ถอนคำพูด ทั้งนี้ นายชวน ก็พยายามควบคุมสถานการณ์ไม่ให้พาดพิงพิงต่อสถาบัน แต่นายวิโรจน์ ได้ชี้แจงว่า การอภิปรายของตนเพื่อปกป้องสถาบันจากนายกฯ และ ได้ถอนบางคำพูดที่เกี่ยวข้องสถาบันในที่สุด ช่วงท้าย นายวิโรจน์ ได้ต่อท้ายสรุปว่า “ประชาชนหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นเพราะวัคซีน แต่สุดท้ายต้องสิ้นหวังสิ้นอนาคต ทั้งนายอนุทิน และพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผอ.ศบค. แค่ผมต้องต้องเดินเฉียดใกล้ ผมยังรู้สึกลำบากใจ แค่คิดว่าต้องหายใจเอาอากาศร่วมกันกับสองคนนี้ ผมก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก จึงไม่อาจให้พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯได้อีกต่อไป และไม่อาจไว้วางใจให้นายอนุทิน ลูกน้องพล.อ.ประยุทธ์ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้เช่นกัน” ต่อมาเวลา14.40น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข อภิปรายตอบโต้นายวิโรจน์ว่า ตอนแรกได้เตรียมข้อมูลมาเสนอมากมาย แต่พอเจอคำว่าสำเนียงส่อภาษา กิริสาส่อสกุล แล้วคนที่เข้าคุณสมบัตินี้มาใช้ใช้สภาฯอันทรงเกียรติแห่งนี้กล่าวโกหกคำโต เพื่อให้ประชาชนสับสน แทนที่จะให้กำลังใจกัน แต่นำข้อมูลที่ไปเช็คในโซเชียลมีเดีย ไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรมาเผยแพพอบอกว่ารมว.สาธารณสุข เป็นคนน่ารังเกียจ อยู่ใกล้ๆก็ยังไม่อยากจะอยู่ด้วย แต่เมื่อซักครู่เจอหน้าห้องน้ำกราบแทบถึงอก ทำไมต้องมาว่ากันเรื่องนี้ “ขอยืนยันว่าในเดือนก.พ.นี้ วัคซีนล๊อตแรกจะมาถึงไทยจำนวน 2 แสนโดส ภายในเดือนมี.ค. วัคซีนล๊อตที่2 จะมาถึงจำนวน 8 แสนโดส ภายในเดือนเม.ย.ล๊อตที่ 3 จะมาถึง อีก 1 แสนโดส และภายในปลายเดือนพ.ค. หรือ ต้นเดือนมิ.ย. วัคซีนที่ผลิตในประเทศไทย ยี่ห้อแอสตราเซนิก้า จะทำการส่ง และนำไปฉีดให้คนไทยได้ครบถ้วน แอสตราเซนิก้าเขาไม่ได้เลือกบริษัทสยามไอโอไซเอนด์ ก่อนที่เข้าจะเลือก เขาได้ไปเยี่ยมดูประสิทธิภาพของบริษัทยาอื่นๆในไทยมามากมาย สุดท้ายเขาเลือกบริษัทสยามไบโอฯ เนื่องจากผลิตชีววัตถุในการผลิตวัคซีนที่มีความคงที่ที่ดีที่สุด ที่สำคัญคือผมต้องเร่งหาวัคซีนให้คนไทยทุกคน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมาในเวลาที่เหมาะสม ยืนยันว่าวัคซีนที่จะให้คนไทย เหมาะสมที่สุดุ จะไม่มีวันถูกตัดคิว ไม่มีคนมาแย่ง ผู้อภิปรายดูถูกคนไทยมาก ดูถูกบุคลากร ขอให้เข้าใจด้วย เราไม่มีอะไรกัน อยู่ตรงนี้ก็ดุจัง พออยู่ข้างนอกก็ยิ้มใส่กัน” วันเดียวกัน นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ นำล็อกเกตหลวงพ่อป้อม ณ วัดป่ารอยต่อ พร้อมสร้อยคอทองคำมาโชว์ต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่าใส่แล้วเป็นสิริมงคล ว่า จากกรณีที่สื่อมวลชนเสนอภาพข่าวดังกล่าว ทาง ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบก่อนว่าทั้งล็อกเกตและสร้อยคอทองคำนั้น นายสิระเคยได้ยื่นเอาไว้ในรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.เอาไว้เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.หรือไม่ โดยจะต้องดูในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายสิระว่ามีทรัพย์สินดังกล่าวหรือไม่ เพราะล็อกเกตและสร้อยคอทองคำอาจจะได้มาในภายหลังจากที่ยื่นกับ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ณ เวลาที่เข้ารับตำแหน่ง ส.ส. อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ นายสิระจะยื่นหรือไม่ยื่นทรัพย์สินดังกล่าวมายัง ป.ป.ช.ก็ได้ แต่ในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตอนพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ป.ป.ช.ก็ต้องไปดูว่าทรัพย์สินดังกล่าวยังอยู่หรือไม่ ถ้าหายไป ต้องตามไปดูว่าขายหรือให้ใครหรือไม่ เพราะทรัพย์สินในบัญชีจะต้องเพิ่มขึ้น ด้าน นายสิระ กล่าวว่า สร้อยคอทองคำ 5 บาท ได้ยื่นเอาไว้ในรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.เอาไว้เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในส่วนล็อกเก็ตหลวงพ่อป้อม ตนได้นำเงินสดจำนวนประมาณ 10,000 บาท ไปสั่งทำมา โดยจะยื่นทรัพย์สินดังกล่าวไปยัง ป.ป.ช.ต่อไป “ช่วงนี้ผมมีศัตรูเยอะ ก็อยากจะมีสิ่งที่เป็นสิริมงคลมาสวมใส่ เพื่อปกป้องภัยอันตรายจากสิ่งไม่ดีและคนไม่ดีให้พ้นภัย”