DSI​ ภาค​7​ลงพื้นที่กลอนโด​ กาญจน์​ รับเรื่องบุกรุกที่หลวงกว่า​ 6​ พันไร่ฉาว​ หลังผู้บังคับบัญชาทราบเรื่องสั่งการลงพื้นที่ขอหลักฐานจากชาวบ้าน​ เตรียมตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้านอดีตนายทหารบำนาญ​ 1ในแกนนำ​ เผย​ หลังร้องเรียนนานหลายปี​ ความคืบหน้ามีเพียงแค่ส่งเจ้าหน้าที่ที่ดินมารางวัดแนวเขต​ ขอดูเอกสารกรรมสิทธิ์​ที่ดิน​ ว่ามีใครบ้างที่เข้่ข่ายบุกรุกออกเอกสาร​ นส.4​ ​แต่กลับถูกปฎิเสธให้ดูไม่ได้ บอกเป็นความลับราชการคล้ายปกปิดเงื้อนงำ​ วอน​ เหตุที่ต้องเรียกร้องเพราะต้องการทวงคืนผืนป่าให้ชาวบ้านและลูกหลานในอนาคต ชาวบ้าน​ 4​ หมู่บ้าน ดีใจที่กรมสอบสวนคดีพิเศษฯภาค 7​ เข้ามาตรวจสอบทำคดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ เมื่้อเวลา​ 13.30​ น.ของวันที่​ 16​ ก.พ.64​ นายสุรชัย​ สวนสีดา​ เจ้าหน้าที่สอบสวนคดีพิเศษ​ ชำนาญการ​DSI ภาค​ 7พร้อมคณะ​ได้เดินทางมาที่บริเวณห้องโถงพระพุทธรูปขนาดใหญ่ภายในวัดดอนสว่าง​ หมู่​ 8​ ต.กลอนโด​ อ.ด่านมะขามเตี้ย​ จ.กาญจนบุรี​ เพื่อขอหนังสืิอเรื่องราวร้องทุกข์พร้อมเอกสารภาพถ่ายแนวเขตแผนที่ดิน​ทางอากาศ (นสล.)​จาก​ รอ.สำราญ​ วงศ์น้อย อดีตนายทหารข้าราชการ​บำนาญ​ และนายโกวิท ชนะวงศ์​ พร้อมด้วย​​กำนันตำบลกลอนโด​ และตัวแทนกลุ่มชาวบ้าน​ 4​ หมู่​ ได้แก่​ หมู่​ 5​ หมู่​ 6​ หมู่​ 8​ และหมู่​ 9​ ที่มารอยื่นหนังสือและเอกสารหลักฐานเพื่อขอความเป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษDSI ภาค​ 7​ ซึ่งให้ความสนใจภายหลังสื่อมวลชน ได้นำเสนอข่าว หลังกลุ่มแกนนำชาวบ้านได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเป็นที่เรียบร้อยรอ.สำราญ​ วงศ์น้อย​ 1​ ในแกนนำชาวบ้านได้กล่าวว่า​"ตนและกลุ่มชาวบ้าน​ 4​ หมู่บ้านในตำบลกลอนโด​ อ.มะขามเตี้ย​ จ.กาญจนบุรี​ รู้สึกดีใจมาก​ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ​DSI​ ภาค​ 7​ ให้ความสนใจเรื่องนี้จึงเดินทางมาสอบถามขอรายละเอียดรวมทั้งหลักฐานภาพถ่ายแนวเขตที่ดิน(นสล)​ในเนื้อที่จำนวน​ 6,983 ไร่​ 3​ งาน​ 40​ ตารางวา​ ซึ่งที่ดินแปลงนี้อยู่ที่ทุ่งเขาภูทอง​ ที่กรมที่ดินในสมัยนั้น​ ได้ออกเอกสารกำกับ"หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง" (นสล.)​ฉบับที่​ 3536/2514 ให้เป็นสมบัติของหมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้าน​ 4​ หมู่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์​ หาของป่าเพื่อนำมาประกอบอาหารในชีวิตประจำวัน​ รวมทั้งเตรียมทำฝายน้ำล้นในฤดูฝนเพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง อยู่ๆ​ ก็มีกลุ่มนายทุนผู้มีอิทธิพลเข้าไปบุกรุกแผ้วถางจับจองที่ดินปลูกสวนผัก​ สวนยางพารา​ และอื่นๆ​ ในเนื้อที่เกือบ​ 2​ พันไร่​ แถมยังมีการนำไปออกเอกสารสิทธิ​ นส.4​ อีกด้วย​ พอชาวบ้านรู้ข่าวจึงรวมตัวกันไปร้องเรียนเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรม​จังหวัดฯ ร้องเรียนทางอำเภอด่านมะขามเตี้ย​ เรื่องก็เงียบ​ ที่ผ่านมาไม่มีการดำเนินการใดๆ​ และเมื่อไม่นานมานี้ก็รวมตัวไปร้องเรียนทางอำเภออีก​ ทางอำเภอฯ​ ได้ประสานไปยัง อบต.กลอนโด​ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่​ จึงมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแนวเขต​พื้นที่​ โเยประสานไปยังที่ดินจัวหวัดกาญจนบุรี​ ให้มาตรวจสอบรังวัดที่ดิน แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร​ ที่ดินสาธารณะประโยชน์ที่ชาวบ้าน​ 4​ หมู่บ้านในอดีตชาวบ้านเคยเข้าไปทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมได้​ แต่ปัจจุบัน​เข้าไปไม่ได้​ เพราะเป็นเขตหวงห้ามมีเจ้าของ​ การที่กลุ่มชาวบ้านเรียกร้องขอความเป็นธรรมครั้งนี้​ ก็เพื่อทวงคืนผืนป่าสาธารณะที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม​ เป็นพื้นที่หลวง​ ไม่ใช่พื้นที่ของผู้ใดผู้หนึ่ง ปัจจุบันเท่าที่ทราบ​ มีกลุ่มนายทุนผู้มีอิทธิพลบุกรุกยึดที่ดินในพื้นที่ทำการปลูกพืชไร่​ไปกว่า​ 2,000​ ไร่ จึงทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินของหลวงได้​ พอสอบถามความคืบหน้าก็พบว่า​ อยู่ระหว่างการดำเนินการรางวัดแนวเขต กำลังดำเนินการตรวจสอบ​ พอไปขอดูเอกสารการครอบครองที่ดิน​ว่ามีใครเข้าข่ายบุกรุกที่ดินแปลงนี้บ้าง ก็ได้รับคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า​ ให้ดูไม่ได้เป็นเอกสารลับของทางราชการ​ ทำเหมือนปกปิดข้อมูล" ด้านนายสุรชัย​ สวนสีดา​ เจ้าหน้าที่ชำนาญการกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI.)​ภาค​ 7​ กล่าวว่า​" หลังผู้ยังคับบัญชาได้รับทราบจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน​ จึงได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้​ จึงสั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ​ ภาค​ 7​ เดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป มีรายงานข่าวว่า​ ที่ผ่านมาที่ดินของหลวงที่เป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ที่อยู่ในเขตความรับผิดชอบของ อบต.​ หรือเทศบาล​ ในหลายพื้นที่ของจังหวัดกาญจนบุรีได้ถูกนายทุนบุกยึดถือครองโดยการร่วมรู้เห็นกับข้าราชการ​ บางคนใช้วิชามารออกเอกสารเป็น​ นส.3​ หรือโฉนดที่ดินทับที่หลวงเป็นจำนวน​มาก​ บางแห่งโดยเฉพาะในเขต​ ต.ท่าเรือ​ อ.ท่ามะกาฯ​ มีการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินสาธารณะประโยชน์​เป็นลักษณะเกือกม้า​ ตรงกลางเป็นสระน้ำ​ มีการถมดิน จำนวนหลายร้อยไร่ให้กับกลุ่มนายทุนเป็นจำนวนหลายสิบราย​ นำไปปลูกสร้างบ้านเรือน​ที่อยู่อาศัย ทำโรงงานอุตสาหกรรมทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ครอบครองมาเป็นเวลาหลายสิบปี​ โดยที่หน่วยงานเจ้าของพื้นที่ปล่อยปละละเลย​ แม้ว่าทางกระทรวงมหาดไทย​ เคยมีหนังสือสั่งการให้ตรวจสอบที่ดินสาธารณะประโยชน์​ ว่าที่ใดมีบ้างมีจำนวนเท่าใด​ แต่เรื่องราวทุกอย่างก็เงียบเฉย​ ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด .................................