เทศบาลตำบลปราสาท อ.บ้าน​ด่าน​ จ.บุรีรมย์ แจงปมดรามา ชาวบ้าน 7 ครัวเรือน​ ใน อ.บ้านด่าน ร้องไม่มีไฟฟ้าใช้มานานกว่า 50 ปี ลูกหลานต้องจุดเทียนอ่านหนังสือ ชี้เห็นใจความเดือดร้อนชาวบ้าน แต่ตรวจสอบเบื้องต้นพบเป็นที่ นสล. ที่ชาวบ้านเข้าไปจับจองทำกินไม่มีเอกสารสิทธิ์ ไม่สามารถขยายเขตให้ได้เพราะผิดระเบียบกฎหมาย (16 ก.พ.64) จากกรณีที่ชาวบ้านบ้านประดู่ ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ จำนวน 7 ครัวเรือน ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่กว่า 30 ชีวิต ได้ออกมาร้องเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปสำรวจช่วยเหลือ โดยอ้างว่า​ ประสบปัญหาเดือดร้อนไม่มีไฟฟ้าใช้มานานกว่า 50 ปี ลูกหลานต้องจุดเทียนอ่านหนังสือ โดยนายธวัชชัย ใหญ่รัมย์ และนางสำเรียง เยาวรักษ์ ตัวแทนชาวบ้านที่ออกมาร้องเรียน บอกว่า ตนและชาวบ้านทั้ง 7 หลังคาเรือนอาศัยและทำกินอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่แล้ว ก็ไม่เคยมีไฟฟ้าใช้เลย ต้องอยู่ด้วยความลำบากโดยเฉพาะลูกหลานต้องใช้ไฟส่องกบหรือเทียนจุดทำการบ้าน และอ่านหนังสือ เพราะหากจะซื้อน้ำมันเติมรถไถนา​ เพื่อปั่นไฟใช้นานหลายชั่วโมงก็สู้ไม่ไหวทั้งสิ้นเปลืองน้ำมัน เปิดใช้นานๆ เครื่องก็เสียไม่มีเงินซ่อมอีก ที่ผ่านมา​ เคยร้องขอความช่วยเหลือหลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเหลือ จึงอยากให้หน่วยที่เกี่ยวข้องเข้ามาสำรวจและให้ความช่วยเหลือชาวบ้านด้วย ล่าสุด​ นายกาญจนะ พงศ์จริยา ปลัดเทศบาลตำบลปราสาท อ.บ้าน​ด่าน​ จ.บุรีรัมย์​ ได้ออกมาชี้แจงว่า จากกรณีที่มีชาวบ้านออกมาร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อนไม่มีไฟฟ้าใช้มานานกว่า 50 ปีนั้น เบื้องต้นจากการตรวจสอบข้อมูลตามเอกสารหลักฐาน พบว่า​ ที่ดินดังกล่าวถูกประกาศเป็นที่ นสล. เลขที่ บร.1922 เมื่อปี 2540 มีเนื้อที่ประมาณ 765 ไร่ ดังนั้น​ ทางเทศบาลจึงไม่สามารถใช้งบประมาณดำเนินการติดตั้งหรือขยายเขตไฟฟ้าให้กับชาวบ้านได้ เพราะหากเจ้าหน้าที่ทำตามที่ชาวบ้านเรียกร้อง ก็จะเป็นการฝ่าฝืนระเบียบกฎหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งก็จะมีความผิดเช่นกัน แต่ในส่วนที่ชาวบ้านออกมาเรียกร้องอยากมีไฟฟ้าใช้นั้น ทางเทศบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจถึงปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน ซึ่งตอนนี้ทางเทศบาลก็ได้ประสานไปยังหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าเป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ดินอำเภอ ที่ดินจังหวัด และนายอำเภอ เพื่อหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือชาวบ้านกันอย่างเต็มที่ ซึ่งตอนนี้ก็ต้องรอทางที่ดินตรวจสอบความชัดเจนก่อนว่าที่ดินที่ชาวบ้านเข้าไปอยู่อาศัยเป็นที่สาธารณะประโยชน์หรือมีเอกสารสิทธิ์ใดหรือไม่ ซึ่งก็จะทราบผลในวันที่ 24 ก.พ.ที่จะถึงนี้ ซึ่งหากผลการตรวจสอบแล้วว่าเป็นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ เข้าไปอาศัยและทำกินอย่างถูกต้องทางเทศบาลก็สามารถที่จะใช้งบประมาณดำเนินการขยายเขตไฟฟ้าให้กับชาวบ้านได้เลย แต่หากตรวจสอบแล้วเป็นที่สาธารณะประโยชน์ ที่ชาวบ้านเข้าไปจับจองทำกินและอยู่อาศัย ก็จะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง ว่า​ จะมีแนวทางไหนที่จะช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านได้บ้าง